ความหวังใหม่วงการหนังไทย ตอน1 "ขาลง...วงการหนังไทย"

แม้ว่าในระยะหลังภาพยนตร์ไทยหลายเรื่องจะได้รับคำวิจารณ์ในทิศทางที่ดีขึ้น อาทิภาพยนตร์เรื่อง ฟ.ฮีแลร์ ที่ได้รับคำชื่นชมจากนักวิจารณ์และผู้ชมภาพยนตร์ในแง่บวก รวมถึงเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ถูกเสนอชื่อเพื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ในสาขาภาพยนตร์ต่างชาติยอดเยี่ยม หรือจะเป็นภาพยนตร์ไทยผลงานการกำกับของไดเรคเตอร์ชาวเกาหลีกับภาพยนตร์เรื่อง พี่ชาย MY HERO ที่ได้รับคัดเลือกให้เป็นตัวแทนภาพยนตร์ไทยเข้าชิงรางวัลออสการ์ ในสาขาภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยม หรือ Best ForeignLanguage Film Award ซึ่งก็นับว่าเป็นการการันตีคุณภาพของวงการหนังไทยว่ามีความสามารถและศักยภาพไม่แพ้ชาติใด อีกทั้งเป็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ของวงการภาพยนตร์ไทยในภาวะซบเซาเช่นในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี  หลังจากในปีที่ผ่านมา ภาพยนตร์ไทยทำรายได้ขาดทุนเกือบทั้งหมด

แม้แต่ภาพยนตร์ไทยฟอร์มยักษ์อย่างตำนานสมเด็จพระนเรศวรตอนอวสานหงสา ก็ถือเป็นหนังภาคต่อที่ทำรายได้น้อยที่สุดในจำนวนหนัง 6 ภาค แม้ว่าจะฟันรายได้ถึงหลักร้อยล้านก็ตาม และดูเหมือนว่าผลผลิตของอุตสหรรมหนังไทยที่ถูกส่งลงตลาดภาพยนตร์ในปี2015  นอกจากตำนานสมเด็จพระนเรศวร ตอนอวสานหงสาแล้ว ภาพยนตร์ไทยที่บุกตลาดหนัง ก็ยังไม่มีเรื่องใดที่สามารถทำรายได้ทะลุหลักร้อยล้านแม้แต่ภาพยนตร์จากค่าย GTH ที่มักกวาดรายได้ทะลุเป้า  แต่ภาพยนตร์ที่ถูกคาดหวังจากการเข้าฉายอย่าง ฟรีแลนซ์ ก็ไม่สามารถทำเงินได้ถึงร้อยล้านเช่นกัน ในขณะที่ภาพยนตร์เรื่องล่าสุดอย่าง"เมย์ไหน ไฟแรงเฟร่อ" อาจจะเป็นความหวังที่จะฟันรายได้ทะลุหลักร้อยล้านจากกระแสตอบรับของคอหนัง ก็อาจเป็นไปได้ว่า นี่อาจจะเป็นแนวโน้มที่ดีของอุตสาหกรรมภาพยนตร์บ้านเรา

เนื้อหาและการนำเสนอของภาพยนตร์ไทยไม่เป็นเพียงประเด็นเดียวที่ถูกแสดงความเป็นห่วง แต่รวมถึงคุณภาพ การแแสดง การถ่ายทำรวมถึงบทภาพยนตร์ที่อาจจะต้องนำไปพัฒนาเพื่อเรียกความเชื่อมั่นของคนดู ให้เกิดความศรัทธาในหนังไทยมากขึ้นอีกด้วย

เช่นเดียวกับ....ภาพยนตร์เรื่อง "อาบัติ" ผลงานจาก ปรัชญา ปิ่นแก้ว เป็นหนึ่งในหลายภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาสะท้อนสังคมแต่ด้วยการนำเสนอที่ตรง แรง และจี้ใจดำ ก็ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้เรท ห. ถูกสั่งระงับการเผยแพร่ออกสู่สายตาสาธารณะชน จนเกิดประเด็นคำถามที่ว่า เหตุภาพยนตร์ที่ต้องการให้บทเรียนต่อสังคมเสนอเรื่องจริงที่เกิดขึ้น กลับเป็นสิ่งที่อาจทำร้ายสังคมทางอ้อม และกลายเป็นอีกหนึ่งข้อจำกัดของผู้สร้างหนังที่ไม่กล้าสร้างสิ่งใหม่ในอุตสาหกรรมหนังไทย เพิ่มเป็นโจทย์ของผู้สร้างหนัง ให้มีความยากมากขึ้นเพื่อให้เกิดความรู้สึกคุ้มค่าที่จะเสียเงินซื้อตั๋วเข้าชมในโรงภาพยนตร์ แม้จะมีภาพยนตร์หลายเรื่องที่หวนคืนจอเงินแต่เนื้อหาและกลุ่มเป้าหมายเดิม ในยุคที่เปลี่ยนไป ก็อาจกลายเป็นเรื่องที่เข้าถึงยากขึ้นสำหรับคอหนังในปัจจุบัน 

ภาพยนตร์ที่บอกเล่าเรื่องราวตำนานความรักของแม่นาค แห่งโค้งน้ำพระโขนง ถูกบอกเล่าต่อมาในหลายเวอร์ชั่น แต่เมื่อปี2556  "พี่มาก พระโขนง"ผลงานจากค่สยจีทีเอช ก็สามารถครองใจผู้ชม และสามารถสร้างสถิติที่ไม่มีใครคาดถึงด้วยการทําเงินเป็นอันดับ1เป็นหนังทําเงินสูงสุดตลอดกาลในประเทศไทย ด้วยการตีความและนำเสนอเรื่องราวสุดเฮี๊ยนของแม่นาคในมุมต่าง รวมถึงการเพิ่มบทบาทของตัวละคร พี่มาก ออกมาดึงดูดผู้ชมซึ่งมีความยากที่จะคาดเดาเรื่องราวที่มีความต่างจากภาคอื่นๆที่เคยมีมา

ไม่เพียงแต่จะต้องแข่งขันกันในตลาดหนังไทยเท่านั้นแต่ยังมีภาพยนตร์ต่างประเทศ ที่เข้ามากวาดรายได้ในประเทศไทยจำนวนไม่น้อย และทำให้ความหวังของวงการหนังไทยยิ่งริบหรี่ลงท่ามกลางภาวะวิกฤตของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทย ทำให้ผู้สร้างหลายราย เลือกที่จะลดต้นทุนในการสร้างหนังรวมถึงการเจาะกลุ่มเป้าหมายที่เล็กลง ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าในอนาคต วงการภาพยนตร์ไทยอาจมีตัวเลือกในการรับชมน้อยลงและคงเป็นการยากที่จะเรียกศรัทธาให้วงการหนังไทยให้กลับมาเฟื่องฟูได้ดังเดิม