svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเงิน-การลงทุน

แบงก์-นอนแบงก์ ! ขันน็อตเพิ่มวินัยนักรูดปรื๊ดขึ้นขั้นต่ำ "บัตรเครดิต"

ดีเดย์ 1 ม.ค. 67  แบงก์-นอนแบงก์พาเหรดปรับอัตราการจ่ายขั้นต่ำบัตรเครดิตจาก 5 % เป็น 8%  หลังมาตรการช่วยเหลือทางการเงินธปท.สิ้นสุด ขันน็อตเพิ่มวินัยนักรูดปรื๊ด ชี้เลี่ยงพฤติกรรมจ่ายขั้นต่ำยาวนานอาจกลายเป็นหนี้เสีย เสี่ยงติดแบล็กลิสต์ส่งผลต่อเครดิตกู้สินเชื่อ  

พร้อมควักกระเป๋าจ่ายกันหรือยัง!  ธนาคารพาณิชย์ บริษัทที่ประกอบธุรกิจการเงินแต่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (นอนแบงก์) ถือฤกษ์ 1 ม.ค. 67 ปรับอัตราการจ่ายขั้นต่ำผ่านบัตรเครดิต จาก 5% เป็น 8%  ของยอดเงินตามใบแจ้งหนี้

ก่อนที่ 1 ม.ค.68 จะขยับเป็น 10% ของยอดเงินตามใบแจ้งรายการในแต่ละเดือน  หรือตามจำนวนที่ธนาคารประกาศกำหนด  โดยจำนวนเงินชำระคืนขั้นต่ำที่กล่าวข้างต้น ยังไม่รวมจำนวนเงินที่ผู้ถือบัตรขอผ่อนชำระในแต่ละเดือน

สำหรับเหตุผลของการปรับอัตราการจ่ายขั้นต่ำ เพื่อให้สอดรับกับนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)  ที่ได้ประกาศสิ้นสุดมาตรการช่วยเหลือทางการเงิน หลังจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง เพราะหากปล่อยให้การผ่อนชำระยืดเยื้อยาวนาน จนเกิดพฤติกรรมรูดเพลิน อาจทำให้เกิดหนี้พอกพูนเป็นก้อนมหึมาจนนำไปสู่ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่หลายฝ่ายกังวลกันมากขึ้น  

แบงก์-นอนแบงก์ ! ขันน็อตเพิ่มวินัยนักรูดปรื๊ดขึ้นขั้นต่ำ "บัตรเครดิต"

โดยจากข้อมูลของสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ระบุว่า หนี้สินครัวเรือนไตรมาส 2/ 66 มีมูลค่า 16.07 ล้านล้านบาท ขยายตัว 3.6% เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยมีสัดส่วนหนี้สินครัวเรือนต่อ GDP อยู่ที่ 90.6% คงที่เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา

หากพิจารณาหนี้ครัวเรือนรายวัตถุประสงค์ พบว่าสินเชื่อเกือบทุกประเภทขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยการขยายตัวของหนี้สินครัวเรือนมีที่มาจากหนี้ เพื่ออสังหาริมทรัพย์และหนี้เพื่ออุปโภคบริโภคส่วนบุคคลเป็นหลัก  

ขณะที่ความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือนลดลงเล็กน้อย โดย ยอดคงค้างของเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ  หรือNPLs  มีมูลค่า 1.47 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 2.68% จากไตรมาสก่อน และคิดเป็นสัดส่วน 2.71% ต่อสินเชื่อรวม

สำหรับการจ่ายขั้นต่ำดูเผิน ๆ เป็นการผ่อนชำระที่ไม่ต้องใช้เงินก้อนใหญ่ เพื่อจ่ายค่าบัตรเครดิตทั้งหมด ทำให้ลูกหนี้มีเงินสดเหลือพอที่จะนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน   แต่ในความเป็นจริงแล้ว ลูกหนี้อาจจะต้องเผชิญกับภาระดอกเบี้ยที่มากขึ้นเรื่อย  ๆ เนื่องจาก บัตรเครดิตมี “ระยะปลอดหนี้” หรือ “ระยะเวลาปลอดดอกเบี้ย” ซึ่งหมายถึงระยะเวลาที่ธนาคารเจ้าของบัตรจะยังไม่คิดดอกเบี้ย หากลูกหนี้ชำระยอดคืนทั้งหมดภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้  

แต่ถ้าเมื่อไหร่ลูกหนี้จ่ายบัตรเครดิตขั้นต่ำแล้วหล่ะก็  ระยะปลอดดอกเบี้ยนั้นจะสิ้นสุดลง และจะถูกคิดดอกเบี้ยบัตรเครดิตทันที โดยดอกเบี้ยบัตรเครดิตอยู่ที่ 16% ต่อปี ซึ่งแบงก์พาณิชย์ นอนแบงก์ จะคิดดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ลูกหนี้รูดบัตร เพื่อซื้อสินค้าหรือบริการต่างๆ และคิดจากยอดเต็มจำนวนทั้งหมด เพราะบัตรเครดิตของลูกหนี้สิ้นสุดระยะเวลาปลอดดอกเบี้ยไปเรียบร้อย  

แบงก์-นอนแบงก์ ! ขันน็อตเพิ่มวินัยนักรูดปรื๊ดขึ้นขั้นต่ำ "บัตรเครดิต"

ทั้งนี้หากระยะเวลาปลอดหนี้ หรือปลอดดอกเบี้ยสิ้นสุดลง ลูกหนี้จะถูกคิดดอกเบี้ยบัตรเครดิต 2 ต่อ คือ ยอดดอกเบี้ยที่คำนวณจากยอดทั้งหมดที่ลูกหนี้รูดไป กับยอดดอกเบี้ยที่คำนวณจากวงเงินคงเหลือหลังจากที่จ่ายคืนแบบขั้นต่ำไปแล้ว และดอกเบี้ยจะถูกคิดเป็นรายวัน นับตั้งแต่วันแรกที่รูดบัตรไปจนถึงกำหนดตัดรอบบิลอีกรอบต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ จนกว่าลูกค้าจะสามารถจ่ายหนี้บัตรเครดิตได้ทั้งหมด

หากลูกหนี้มีการรูดใช้บัตรเครดิตระหว่างนั้นไปอีก ยอดดังกล่าวก็จะถูกคิดดอกเบี้ยบัตรเครดิตไปด้วย ทำให้ลูกหนี้ต้องเผชิญกับดอกเบี้ยบัตรเครดิตที่สูงขึ้น และหากลูกหนี้ยังจ่ายขั้นต่ำต่อไป ดอกเบี้ยก็จะถูกคิดแบบทบยอดไปเรื่อย ๆ ทุกครั้ง ทำให้ภาระหนี้กลายมาเป็นมหึมามากขึ้น

สำหรับแนวทางออกการแก้ไขปัญหานั้น  ลูกค้าต้องหยุดใช้บัตรเครดิต เปลี่ยนมาใช้เงินสดแทนเพื่อควบคุมค่าใช้จ่าย  เนื่องจากยอดการใช้จ่ายที่ลูกค้ารูดใหม่จะถูกนำมาคิดดอกเบี้ยรวมไปกับยอดค้างชำระและวางแผนจัดการแก้ปัญหาหนี้สินให้หมดโดยเร็ว เพราะหากไม่จ่ายค่าบัตรเครดิตภายในวันที่กำหนดจะถูกคิดดอกเบี้ยจากวันที่รูดบัตรทันที โดยคิดดอกเบี้ยเป็นรายวัน  

ดังนั้นควรจ่ายหนี้ให้ได้มากกว่าขั้นต่ำที่สถาบันการเงินกำหนด เช่น จากเดิมจ่ายหนี้ได้ขั้นต่ำ 5% ให้เพิ่มเป็นจ่ายหนี้ 20% เพื่อลดต้น และลดดอก

นอกจากนี้การรีไฟแนนซ์บัตรเครดิตยังเป็นอีกทางออก  โดยกู้สินเชื่อก้อนใหม่มา เพื่อปิดหนี้บัตรเครดิตทั้งหมด และเปลี่ยนมาผ่อนชำระคืนกับสินเชื่อก้อนใหม่แทน วิธีนี้จะช่วยลดภาระดอกเบี้ยบัตรเครดิตที่เพิ่มพูนจากการจ่ายขั้นต่ำได้เป็นอย่างดี แถมยังช่วยให้ลูกหนี้ปิดหนี้บัตรเครดิตที่มีได้ครบทุกใบ ทำให้ลูกหนี้สามารถลดค่าใช้จ่ายในการชำระหนี้แต่ละงวด

พร้อมกับยืดระยะเวลาในการผ่อนชำระหนี้ออกไปได้ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องดอกเบี้ยสะสม และไม่ต้องสับสนวันครบกำหนดชำระหนี้บัตรเครดิตหลายใบ เพราะสินเชื่อรีไฟแนนซ์บัตรเครดิตจะกำหนดจำนวนยอดที่ต้องผ่อนชำระเท่ากันทุกเดือน ทำให้ลูกหนี้สามารถบริหารเงินในแต่ละเดือนได้สะดวกขึ้น รวมถึงการสร้างวินัยในการชำระหนี้ จะช่วยให้ปิดหนี้บัตรเครดิตได้เร็วขึ้น

เมื่อทำการแก้ไขทุกอย่างแล้ว แต่ก็ยังเกินกำลังและไม่รู้ว่าจะใช้หนี้หมดหรือไม่ ทางออกก็คือ จะต้องหารือกับเจ้าหนี้ เพื่อหาทางประนอมหนี้ว่าจะจ่ายหนี้อย่างไร จ่ายวิธีไหนดีที่สุด ไม่ควรปล่อยปะละเลย เพราะหากมีประวัติผิดนำชำระหนี้เจ้าหนี้จะส่งรายชื่อไปที่บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ หรือ เครดิตบูโร  และหากต้องการทำธุรกรรมการเงินต่างๆ ในอนาคต ทำให้ลูกหนี้อาจจะไม่ได้รับอนุมัติสินเชื่อด้านอื่น ทั้งสินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถ เนื่องจากธนาคารตรวจพบประวัติการค้างชำระหนี้ในอดีต  

ขณะเดียวกันไม่ควรสมัครบัตรใบใหม่เพื่อจะได้วงเงินก้อนใหม่ แล้วกดเงินสดไปจ่ายหนี้บัตรเครดิตใบเดิม ซึ่งจะทำให้มีภาระเป็นหนี้สะสม และมีภาระดอกเบี้ยมหาศาลที่คิดคำนวณเป็นรายวัน และเกิดหนี้สินพอกพูน  การกดเงินสดจากบัตรเครดิต จะต้องเสียค่าธรรมเนียมการเบิกถอนเงินสด (cash advance fee) ภาษีมูลค่าเพิ่มของยอดบริการเงินสด (VAT)  ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ตามอัตราที่ธนาคารกำหนดไว้ รวมถึงดอกเบี้ยต่อวันด้วย
   
หรือถ้าจะให้ดีที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงการนำตัวเองเข้าสู่การสร้างวงจรหนี้ที่พัลวันแบบนี้ ก็ต้องใช้จ่ายอย่างมีวินัย มองบัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคล เป็นเครื่องมือทางการเงินที่จะนำมาใช้บริหารสภาพคล่องให้เหมาะสม ไม่เกินตัว และชำระคืนเต็มจำนวนอย่างเคร่งครัด เพื่อจะได้ไม่ต้องติดกับดักหนี้เป็นวังวนแก้ปัญหาไม่รู้จบ ....