นายพูน พานิชพิบูลย์ นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงิน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยกับ Nation Online ว่า ปัจจัยการเมืองไทยจะเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อทิศทางค่าเงินบาทได้พอสมควรในช่วงเดือนกรกฎาคมนี้
โดยเราประเมินว่า หากการเลือกนายกฯ และการจัดตั้งรัฐบาลมีความราบรื่นและไม่ได้เกิดความวุ่นวายทางการเมืองขึ้น ก็อาจช่วยหนุนให้ นักลงทุนต่างชาติเริ่มมีความมั่นใจต่อสถานการณ์การเมืองไทยและแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยมากขึ้น
ซึ่งจะตามมาด้วยการกลับเข้ามาซื้อหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่ ตลาดหุ้นไทยได้ปรับฐานมาพอสมควร จนระดับราคา (Valuation) ลดลงมาอยู่ในระดับที่ไม่แพง
นอกจากนี้ประเมินว่า ในกรณีดังกล่าว ที่การโหวตเลือกนายกฯ และจัดตั้งรัฐบาลไม่ยืดเยื้อ
- เงินบาทก็มีโอกาสทยอยแข็งค่าขึ้นทดสอบโซนแนวรับ 35.00 บาทต่อดอลลาร์ และอาจแข็งค่าหลุดโซนแนวรับมาสู่ระดับ 34.75 บาทต่อดอลลาร์ได้
อย่างไรก็ดี การโหวตเลือกนายกฯ และการจัดตั้งรัฐบาลอาจไม่ได้ราบรื่นในช่วงแรก เนื่องจากทางพรรคก้าวไกลยังขาดเสียงสนับสนุนจากสภาฯ โดยเฉพาะเสียงสนับสนุนจากวุฒิสภาพอสมควร ซึ่งทำให้พรรคอันดับสองอย่างพรรคเพื่อไทยอาจเสนอตัวเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐ บาล พร้อมเสนอแคนดิเดตนายก
โดยประเมินว่า หากพรรคเพื่อไทยเลือกที่จะจับมือกับพรรคฝ่ายรัฐบาลปัจจุบันก็อาจจะได้รับเสียงสนับสนุนจากวุฒิสภาที่เพียงพอในการจัดตั้งรัฐบาลผสมได้ แต่ในระยะสั้น ความวุ่นวายของการเมืองไทยจากประเด็นการโหวตเลือกนายกฯ และจัดตั้งรัฐบาลก็อาจกดดันให้ นักลงทุนต่างชาติยังไม่รีบกลับเข้าซื้อสินทรัพย์ไทย หรือ อาจทยอยขายสินทรัพย์ไทยต่อได้บ้าง
ทั้งนี้ส่งผลให้เงินบาทมีโอกาสผันผวนอ่อนค่าลง เสี่ยงทดสอบโซนแนวต้าน 35.75-36.00 บาทต่อดอลลาร์ได้ ในระยะสั้น แต่เรายังคงมองว่า หากสุดท้าย ไม่ว่าจะเป็นพรรคไหนสามารถจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมากได้สำเร็จ ค่าเงินบาทก็มีแนวโน้มทยอยกลับมาแข็งค่าขึ้นได้ ตามการกลับมาลงทุนในสินทรัพย์ไทยของนักลงทุนต่างชาติ
น.ส. รุ่ง สงวนเรือง ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมธุรกิจและกำกับดูแลโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยกับ Nation Online ว่า ค่าเงินบาทสัปดาห์หน้าเคลื่อนไหวในกรอบ 34.90-35.70 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
โดยปัจจัยที่ต้องติดตามคือ ตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ ซึ่งจะเป็นข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญชิ้นสุดท้ายก่อนการประชุมธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดวันที่ 25-26 ก.ค. ซึ่งในเวลานี้ตลาดคาดว่าจะขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% เป็น 5.25-5.50% และอาจเป็นการขึ้นครั้งสุดท้าย
นอกจากนี้เกาะประเด็นการเมือง นักลงทุนต้องการเห็นการโหวตนายกฯ สำเร็จมากกว่าผลตัวบุคคล ดังนั้นหากมีสัญญาณยืดเยื้อลากยาวและไม่ชัดเจนเท่าไหร่ ยิ่งเป็นเชิงผลลบต่อความเชื่อมั่นและ senti ment การลงทุน ขณะที่เงินบาทอาจอ่อนค่าจากปัจจัยนี้ได้เช่นกัน
ส่วนการเคลื่อนไหวของสกุลเงินในภูมิภาคในช่วง 1 ก.ค.-7 ก.ค. พบว่าวอน-เกาหลีใต้แข็งค่ามากสุด 0.96% รองลงมาเป็นบาท-ไทย 0.66% หยวน-จีน 0.13% ริงกิต-มาเลเซีย 0.00% ยกเว้น รูเปียห์-อินโดนีเซียอ่อน 0.94% รูปี-อินเดีย 0.83% เปโซ-ฟิลิปปินส์ 0.61% ดอลลาร์-ไต้หวัน 0.60% ดอง-เวียดนาม 0.34% และดอลลาร์-สิงค โปร์ 0.00%
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ 1 ก.ค.-6 ก.ค.ต่างชาติขายหุ้นไทย 6.5 พันล้านบาท ซื้อพันธบัตร 1หมื่นล้านบาท