
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ระบุว่า กระทรวงคมนาคม ถือเป็นกระทรวงใหญ่เกรด AAA+ ซึ่งมีความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและประเทศอย่างมาก ในช่วงเวลา 4 เดือนก่อนยุบสภา ตามที่นายกรัฐมนตรีได้ประกาศไว้ ตนขอให้ข้าราชการ และทุกหน่วยงานในกระทรวงคมนาคมปฏิบัติหน้าที่เต็มความสามารถ
อย่างไรก็ดี ในช่วงงบประมาณปี 2569 ซึ่งจะเริ่มดำเนินการในวันที่ 1 ต.ค.68 นี้ ขอให้ข้าราชการ และทุกหน่วยงานเดินหน้าโครงการตามแผน ผลักดันการใช้งบประมาณให้ได้มากที่สุด เพราะกระทรวงคมนาคมจะเป็นส่วนสำคัญในการกระตุ้นการลงทุนและเศรษฐกิจของประเทศ ดังนั้นหากโครงการใดมีความพร้อมให้ดำเนินการทันที เพื่อให้ช่วงเวลา 4 เดือนนับจากนี้ กระทรวงคมนาคมต้องเป็นบทบาทสำคัญกระตุ้นเศรษฐกิจ
สำหรับ โครงการที่มีความพร้อมเปิดประมูลในช่วง 4 เดือนนี้ เบื้องต้นมีโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงช่วงตลิ่งชัน - ศาลายา และตลิ่งชัน – ศิริราช วงเงิน 15,176 ล้านบาท และสายสีแดงเข้ม ช่วงรังสิต – มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต วงเงิน 6,473 ล้านบาท รวมไปถึงโครงการทางพิเศษจังหวัดภูเก็ต ระยะที่ 1 ช่วงกะทู้ – ป่าตอง ระยะทาง 3.98 กิโลเมตร วงเงิน 10,964.77 ล้านบาท
ส่วนโครงการอื่นที่มีความพร้อมเตรียมเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งเป็นโครงการที่ค้างจากรัฐบาลก่อน ได้มอบหมายให้ปลัดกระทรวงคมนาคมเร่งรวบรวมข้อมูลเสนอ อาทิ โครงการรถไฟทางคู่ ระยะที่ 2 ซึ่งปัจจุบันได้ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จำนวน 3 โครงการ ประกอบด้วย
1.ช่วงชุมพร – สุราษฎร์ธานี ระยะทาง 168 กิโลเมตร วงเงิน 30,422.53 ล้านบาท
2.ช่วงสุราษฎร์ธานี – ชุมทางหาดใหญ่ – สงขลา ระยะทาง 321 กิโลเมตร วงเงิน 66,270.51 ล้านบาท
3.ช่วงชุมทางหาดใหญ่ – ปาดังเบซาร์ ระยะทาง 45 กิโลเมตร วงเงิน 7,772.90 ล้านบาท
นายพิพัฒน์ กล่าวด้วยว่า นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ในส่วนของรถไฟฟ้าสายสีม่วง และสายสีแดง ตามมติ ครม.ชุดก่อน ได้เห็นชอบขยายอายุมาตรการไปสิ้นสุด 30 ก.ย.2569 แต่เนื่องจากขณะนี้เปลี่ยนรัฐบาล จึงจำเป็นต้องพิจารณามติดังกล่าวด้วยว่าจะยังมีผลหรือไม่ ดังนั้นรถไฟฟ้าสายสีม่วง และสายสีแดง จะต้องสิ้นสุดกลับไปราคาเดิมเริ่มวันที่ 1 ต.ค.68 นี้ก่อน หลังจากนั้นรัฐบาลจะพิจารณาจัดทำมาตรการลดค่าครองชีพประชาชนในรูปแบบแพ็กเกจการเดินทาง ให้ครอบคลุมทั้งมติ บก น้ำ ราง จะได้ประโยชน์ไม่เพียงรถไฟฟ้าเท่านั้น
“การที่ไม่สามารถเดินหน้ามาตรการลดค่าครองชีพการเดินทางได้ต่อเนื่อง เพราะกรอบเวลาที่รัฐบาลต้องแถลงนโยบายต่อรัฐสภาจะมีขึ้นในวันที่ 29 – 30 ก.ย.68 นี้ หลังจากนั้นจึงจะมีการเสนอเรื่องดังกล่าวเข้าสู่ที่ประชุม ครม. ภายใน 2 สัปดาห์นับจากแถลงนโยบายแล้วเสร็จ เบื้องต้นก็จะมีการทยอยปรับลดค่าครองชีพของประชาชนในระบบขนส่งมวลชนทันที”
ในส่วนของแนวคิดตั๋วร่วมหรือค่าโดยสารราคาเดียว ซึ่งเคยเป็นนโยบายหาเสียง จะถูกพิจารณาเป็นส่วนหนึ่งของแพ็กเกจใหม่ แต่จะเป็นอัตราในราคาเท่าไรนั้น ขอให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการศึกษาความเหมาะสมก่อน เพราะต้องคำนึงถึงจุดสมดุลระหว่างภาระงบประมาณรัฐบาล และประโยชน์ของประชาชน โดยจะอ้างอิงบทเรียนจากนโยบาย 20 บาททุกเส้นทางในอดีต พบว่าสร้างภาระชดเชยให้รัฐเกือบ 20,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งนโยบายนี้ก็อาจไม่เป็นธรรมต่อประชาชนในต่างจังหวัดเพราะดำเนินการเฉพาะส่วนของรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ