
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบแต่งตั้ง นายวิทัย รัตนากร ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แทนนายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธปท. ในปัจจุบัน โดยยืนยันว่าการพิจารณาแต่งตั้งเป็นไปตามขั้นตอนปกติ
การทำงานระหว่างกระทรวงการคลัง และ ธปท.ที่ผ่านมาเป็นไปด้วยดี โดยต่างฝ่ายก็ปรับจูนการทำงานเข้าหากัน และร่วมกันทำงานอย่างใกล้ชิดมากขึ้น ซึ่งตนยึดหลักในการทำงานที่ว่า หากมีการสื่อสารข้อมูลถึงกัน เข้าใจปัญหาเหมือนกัน ก็จะสามารถร่วมกันแก้ไขปัญหาและผลักดันเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี ส่วนนโยบายการเงินนั้น ธปท. ยืนยันว่ามีความเป็นอิสระในการพิจารณาว่าควรจะดำเนินการแบบใดในเรื่องที่มีความเหมาะสม
"คงไม่ฝากอะไรถึงผู้ว่าธปท.ใหม่ เพราะธปท.รู้หน้าที่ของเขาอยู่แล้ว ที่ผ่านมาก็ทำงานได้ดี จูนเข้าหากัน โดยยึดหลักข้อมูลถึงกัน เพราะเมื่อเข้าใจตรงกัน รู้ปัญหาเหมือนกัน ช่วยผลักดันเศรษฐกิจ อะไรให้เหมาะสมก็ให้อิสระในการทำงาน นโยบายการเงินเป็นเรื่องของความอิสระ ส่วนกระทรวงการคลังก็มีบทบาทของตนที่ต้องประสานกัน ไม่มีแนวคิดชี้นำการลดดอกเบี้ยหรือกดดันใด ๆ" นายพิชัยกล่าว
ยอมรับว่า 2 รายชื่อสุดท้าย มีดีทั้งคู่ เพียงแต่ว่าคนหนึ่งจะรู้เรื่องภายใน ธปท.ได้ดี คุณสมบัติเหมาะสมมาก ๆ ส่วนอีกคน มีความรู้ที่หลากหลาย แต่ปัจจุบันปัญหาของเศรษฐกิจไทยค่อนข้างเยอะ ปัญหาหลากหลาย ส่วนที่หลายฝ่ายกังวลว่าผู้ว่าการ ธปท.คนใหม่ อาจจะทำงานยากนั้น เมื่อพิจารณาดูแล้ว เชื่อว่าจะไม่เป็นอย่างนั้น เพราะ ธปท. ทำงานกันอย่างมีหลักการ และทุกคนทำงานด้วยหลักการทั้งนั้น คิดว่าไม่มีปัญหาอะไร
ส่วนที่หลายฝ่ายกังวลว่าการแต่งตั้งผู้ว่าใหม่จะทำให้ ธปท. สูญเสียความเป็นอิสระ นายพิชัยกล่าวว่า "การทำงานด้วยหลักการ ผมคิดว่าทุกอย่างไม่น่ามีปัญหาอะไร"
"ดูสไตล์การทำงานของผม จะรู้ว่าผมไม่กดดันใครอยู่แล้ว พูดด้วยเหตุผลตลอด ไม่ว่าจะเป็นใคร ไม่จำเป็นว่าผู้ว่าธปท.คนนั้น แล้วจะใช้สไตล์หนึ่งหรือไม่ใช่ ทำงานด้วยความเข้าอกเข้าใจ ไม่มีปัญหาเรื่องนี้แน่นอน ผู้ว่าธปท.ต้องทำงานรับผิดชอบองค์กร รับผิดชอบงานตัวเองด้วย ดังนั้นเราต้องให้ความเป็นอิสระในเรื่องการทำงาน ในเรื่องแนวคิด เราก็หวังว่าการทำงานระหว่างนโยบายการคลัง ซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติส่วนใหญ่ อยากเห็นนโยบายการเงินจะมีการปรับให้สอดคล้องกันมากขึ้น หากสามารถปรับนโยบายเงินเนี่ย ให้มันสอดคล้องกับนโยบายการคลัง แล้วมีความเป็นอิสระทางความคิด จะให้มันไปด้วยกันได้ แค่นั้นพอแล้ว จริงๆ ก็ไม่มีอะไรมาก ส่วนดอกเบี้ยต้องถามทาง กนง. ให้เขาดูแลกันเอง"
ส่วนการตั้งข้อสังเกตว่า หากผู้ว่าฯ คนใหม่ลดดอกเบี้ยนโยบาย อาจกระทบต่อกำไรของธนาคารพาณิชย์ นายพิชัย ระบุว่า จริงๆ ผลประกอบการแบงค์เนี่ยก็คงสะท้อนเป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจ ถ้าภาวะเศรษฐกิจดี ผลประกอบการก็ดี ถ้าร่วมกันผลักดันให้ภาวะเศรษฐกิจดี ผลประกอบการก็จะดีเอง
"ทิศทางของดอกเบี้ยลดลง ก็ไม่ได้แปลว่า NIM (ส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ย) จะต้องลดลงเสมอไป เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องของความเสี่ยงที่ระบบสถาบันการเงินเขาจะพิจารณากันเองว่าสอดคล้องกับความเสี่ยงของการปล่อยสินเชื่อหรือไม่อย่างไร"
สำหรับสิ่งที่อยากเห็นผู้ว่าฯ ธปท.คนใหม่ ขับเคลื่อนงานเร่งด่วนอะไรในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจนั้น อยากให้ขับเคลื่อนหลายเรื่อง โดยในส่วนของสถาบันการเงิน เรื่องใหญ่สุด คือ เรื่องแก้หนี้ประชาชน ซึ่งคงต้องช่วยกันผลักดันและแก้ไข แต่ยืนยันว่าการดำเนินนโยบายการเงินของ ธปท.มีความเป็นอิสระแต่ต้องทำงานให้สอดคล้องกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.การคลัง กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. ไม่มีข้อโต้แย้งอะไรในการแต่งตั้งนายวิทัย รัตนากร ดำรงตำแหน่งเป็นผู้ว่าการ ธปท. ส่วนเรื่องการทำงานระหว่างกระทรวงการคลัง และ ธปท. ในอนาคตนั้น อยากเห็นภาพการทำงานที่มีการพูดคุย หารือกันมากขึ้น เพื่อทำให้นโยบายการคลังและนโยบายการเงินสอดคล้องและตรงกันมากขึ้น และเข้ามาช่วยกันเหยียบคันเร่งเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปพร้อมกัน
ทั้งนี้ สิ่งที่อยากเห็นการให้ความสำคัญมากขึ้น คือ เรื่องการปล่อยสินเชื่อลงสู่ระบบ ซึ่งตรงนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก ที่ผ่านมาอาจจะเห็นเกณฑ์ที่เข้ม และแข็งเกินไป เพราะมีการยึดเรื่องเสถียรภาพจนสถาบันการเงินไม่เปิดรับความเสี่ยงเลย จนทำให้สินเชื่อไม่ลงสู่ระบบ แบบนี้ถือเป็นผลกระทบต่อเศรษฐกิจ เช่นเดียวกับเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน ที่มองว่าจะต้องพิจารณาให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ซึ่งฝ่ายที่มีหน้าที่รับผิดชอบเรื่องนี้ต้องดูด้วยความเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน หรืออะไรต่าง ๆ ที่ต้องดูให้อยู่ในระดับสมดุล
"อยากเห็นนโยบายการคลังและการเงินสอดคล้องกันมากขึ้น โดยเฉพาะหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ควรคำนึงถึงความเหมาะสมและการเข้าถึงแหล่งเงินให้มากขึ้น ไม่ควรเน้นเพียงความเสี่ยงหรือเสถียรภาพจนเกินไป เพราะหากกฎเข้มเกิน ธนาคารอาจปลอดภัยแต่เงินไม่ลงสู่ระบบ เศรษฐกิจก็จะขาดศักยภาพในการเติบโต จึงควรหาสมดุลระหว่างความมั่นคงและการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ"