คณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่มีนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน จะมีการประชุมเวลา 16.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อทบทวนมติคณะกรรมการฯ และการจัดสรรงบกลางเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ วงเงิน 157,400 ล้านบาท ใหม่อีกครั้งในการทำโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ เนื่องจากบริบทเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป
นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงทรวงการคลัง รับโจทย์จากนายกรัฐมนตรี ในการกลับมาทบทวนการใช้วงเงินงบกลางเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท ว่าควรจะทำโครงการอะไรให้เกิดประโยชน์และมีประสิทธิภาพสูงสุดต่อประเทศไทยในบริบทที่เปลี่ยนไป โดยกระทรวงการคลังในฐานะฝ่ายเลขานุการ ได้หารือร่วมกับสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และสำนักงบประมาณ และจะมีการเสนอแผนการใช้วงเงินดังกล่าวในการประชุมคณะอนุกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ช่วงเช้าวันที่ 19 พ.ค. และเสนอบอร์ดชุดใหญ่ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในช่วงบ่าย
สำหรับรายละเอียดของแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไรนั้น ยังไม่สามารถบอกรายละเอียดได้เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน เนื่องจากอาจมีการเปลี่ยนแปลงในที่ประชุม โดยเดิมวงเงิน 1.57 แสนล้าน เป็นวงเงินที่จะใช้ดำเนินโครงการดิจิทัลวอลเล็ตในเฟส 3 และ 4 ซึ่งบริบทที่เปลี่ยนไปนั้นทำให้ต้องกลับมาทบทวนอีกครั้ง เพื่อให้ตอบโจทย์ทั้งการลงทุน การปรับโครงสร้าง และดูแลกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากภาษีสหรัฐฯ ทั้งนี้ หากที่ประชุมฯ มีการเสนอโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ใช้เม็ดเงินมากกว่า 1.5 แสนล้าน อาจมีการตัดบางโครงการ หรือใช้วิธีจัดสรรงบประมาณในส่วนอื่นเพิ่มเติมตามวิธีการงบประมาณ
เม็ดเงินดังกล่าวจะเพียงพอหรือไม่ และสร้างผลเชิงบวกต่อเศรษฐกิจได้แค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับว่าใช้ทำโครงการอะไร หากใช้เพื่อกระตุ้นการบริโภค หรือการลงทุนก็จะมีผลแตกต่างกัน อย่างไรก็ดีจะมีการพิจาณาเพื่อให้เกิดการกระตุ้นระยะสั้นให้เกิดผลดีที่สุด โดยพยายามดันให้เม็ดเงินทั้งหมดลงสู่ระบบก่อนสิ้นปีงบประมาณ หรือเดือน ก.ย.68 สถานการณ์เศรษฐกิจโลกทั้งหมดได้รับผลกระทบจากการประกาศภาษีใหม่ของสหรัฐฯ รวมถึงประเทศไทย ซึ่งเราจะพยายามทำให้ดีที่สุดเพื่อให้เศรษฐกิจไทยในปีนี้ขยายตัวได้ 2.1-2.9% และโตไม่ต่ำกว่า 2%