
นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวในหัวข้อ “เศรษฐกิจไทย ความท้าทาย และโอกาส ในปี 2025" ภายในงาน “Thailand Economic Drives 2025” จัดโดยโพสต์ทูเดย์ ระบุว่า รัฐบาลมีวิสัยทัศน์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ก้าวกระโดดไปอีกขั้น หลังจากที่ไทย ติดหล่มอยู่ในสถานะประเทศกำลังพัฒนามาอย่างยาวนาน รวมทั้งมีการขยายตัวของเศรษฐกิจต่ำลงต่อเนื่อง โดยเฉลี่ยช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยเติบโตเฉลี่ยเพียง 2% ในปีนี้ ท่ามกลางบริบทโลกที่มีความผันผวนและไม่แน่นอนสูง รัฐบาลมุ่งให้ความสำคัญกับการรักษาโมเมนตัมการเติบโตของเศรษฐกิจ โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) คาดการณ์ว่า GDP จะขยายตัวอยู่ในกรอบ 2.5-3.5% โดยมีค่ากลางที่ 3%
ทั้งนี้ รัฐบาลจะมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในปีนี้ให้เป็นไปตามเป้าหมาย ผ่านการขับเคลื่อน 5 เรื่อง ได้แก่ 1.การเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณรัฐด้านการลงทุนให้ได้ถึง 80% จากปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 75% ซึ่งในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2568 ถือว่าทำได้ดี โดยมีการผูกพันงบประมาณสูงขึ้นกว่าปีก่อนหน้าอย่างมีนัยสำคัญ
2.การปิดช่องโหว่กระบวนการใช้จ่ายของโครงการดิจิทัลวอลเล็ต เฟส 3 หรือการแจกเงิน 10,000 บาท ที่จะมีเริ่มโอนเงินในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ซึ่งจากการติดตามข้อมูลการใช้จ่ายเงินของโครงการเฟสที่ 1 และ 2 พบว่านำไปใช้ในการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจได้ดีระดับหนึ่ง โดยมีเพียง 5% ของงบประมาณทั้งหมดในการดำเนินโครงการที่นำไปใช้หนี้และเก็บออม
ทั้งนี้ ในที่ประชุมคณะอนุกรรมการฯ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ มีการเสนอให้ปรับลดเงื่อนไขการใช้จ่ายให้ง่ายขึ้นเพื่อให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบมากขึ้น โดยรูปแบบการใช้จ่ายยืนยันว่าจะเป็นดิจิทัลวอลเล็ต ขณะนี้ เตรียมพร้อมของระบบการใช้จ่ายของโครงการ ซึ่งมุ่งเน้นเรื่องความปลอดภัยและมีความมั่นใจระบบบล็อกเชน ซึ่งธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งพร้อมเข้ามาเชื่อมต่อเป็น Open Loop รวมถึงกลุ่ม non-bank หลายรายที่สนใจเข้าร่วมด้วย
3.การเร่งรัดการลงทุนในโครงการบ้านเพื่อคนไทยเพื่อให้เกิดการลงทุนตามแผนงาน ซึ่งในปีนี้จะเห็นโครงการเริ่มก่อสร้าง คาดว่าจะมีเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจ 830 ล้านบาท
4.การกระตุ้นการท่องเที่ยวในภาพรวมที่คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามา 38.5 ล้านคน และช่วงปลายปีที่ประเทศไทยจะได้เป็นเจ้าภาพการแข่งขันมหกรรมกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 โดยหากเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวได้ถึง 5 แสนคน
5.การเร่งรัดโครงการการลงทุนของภาคเอกชนหลังได้รับการออกบัตรส่งเสริมการลงทุนแล้วกว่า 1.3 ล้านล้านบาท โดยเฉพาะโครงการที่เกี่ยวข้องกับ Data Center และ Cloud Region เพื่อให้เกิดเม็ดเงินลงทุนจริงสู่ระบบเศรษฐกิจ รวมทั้งเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลของประเทศไทยโดยหากเร่งรัดให้เกิดการลงทุนในปีนี้ไม่ต่ำกว่า 7.5 หมื่นล้านบาท ก็จะช่วยให้จีดีพีไทยในปี 2568 ขยายตัวเพิ่มขึ้นได้อีก 0.19%
สำหรับการเปลี่ยนแปลงของนโยบายการค้า หลังจากที่โดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ ทำให้ทุกภาคส่วนทั้งภาคเอกชนและภาครัฐมีความห่วงกังวลและจับตาการเปลี่ยนแปลงอย่างใกล้ชิด รัฐบาลมีโจทย์สำคัญที่จะขับเคลื่อนร่วมกับภาคเอกชน ในการลดความเสี่ยงการพึ่งพาประเทศคู่ค้ามากเกินไป โดยลดการพึ่งพาการส่งออกไปยังประเทศใดประเทศหนึ่ง
นอกจากนี้ รัฐบาลยังเร่งรัดในการเจรจาความตกลงทางการค้า (FTA) กับหลายประเทศเพื่อเปิดตลาดการส่งออกใหม่ และปิดช่องโหว่ผลกระทบทางการค้าที่อาจเกิดขึ้นกับภาคเอกชนไทย ขณะเดียวกัน รัฐบาลยังเร่งเพิ่มบทบาทของไทยในการเข้าร่วมภาคีเศรษฐกิจระดับโลก อาทิ องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) และกลุ่ม BRICS ซึ่งหากไทยสามารถเป็นสมาชิกได้ก็จะเป็นการสร้างเครือข่ายที่มีความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจไทยและเปิดโอกาสใหม่อีกมากให้กับภาคเอกชน
รัฐบาลวางแผนที่จะดึงดูดโครงการลงทุนขนาดใหญ่เข้ามาในประเทศ จากการผลักดันร่างกฎหมาย 2 ฉบับ ได้แก่ พ.ร.บ.ศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน ซึ่งจะเป็นการสร้างกลไกพิเศษเพื่อดึงเม็ดเงินในโลกเข้ามาลงทุนในไทย แข่งขันได้กับศูนย์กลางการเงินระดับโลกอย่างสิงคโปร์และฮ่องกง ทั้งนี้รัฐบาลมองว่าร่างกฎหมายดังกล่าวจะเป็นการปูทางระยะยาวเพื่อสร้างความเข้มแข็งของระบบการเงินไทยและทำให้ต้นทุนการเงินของเอกชนไทยลดลงในที่สุด
นอกจากนี้ การผลักดัน พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร หรือ เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ซึ่งจะเป็นการเปิดทางดึงดูดโมเดลธุรกิจ สถานบันเทิง การท่องเที่ยว รวมถึงกาสิโน ให้เข้ามาลงทุนในไทย เชื่อว่าถ้ากฎหมายนี้ผ่านเห็นชอบ จะเป็นเกมเชนเจอร์ของประเทศไทย สามารถดึงเม็ดเงินการลงทุนได้มากมาย และ เพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยว ได้ 5-10% ต่อปีจากปีฐาน เพิ่มค่าใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยว