ชาคร เลิศนิทัศน์ นักวิจัยอาวุโสทีมนโยบายด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) พร้อม ดร.สิริภา จุลกาญจน์ สถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานมีมติจะขึ้นค่าไฟฟ้าเป็น 4.68 บาทต่อหน่วยตั้งแต่เดือนมกราคม – เมษายน 2567 ว่า ธันวาคมนี้เป็นเดือนสุดท้ายของมาตราการลดค่าไฟฟ้าเหลือ 3.99 บาทต่อหน่วย ก่อนที่จะมีการปรับค่าไฟขึ้นตามมติของกกพ. และแม้ว่ารัฐบาลออกมาระบุว่าจะพยายามตรึงราคาค่าไฟให้ไม่เกิน 4.20 บาท แต่กรณีดังกล่าวได้สะท้อนให้เห็นว่าการปรับลดราคาค่าไฟ โดยขาดการปรับโครงสร้างการผลิตและการลงทุนสำหรับแหล่งพลังงานชนิดใหม่ๆ สามารถทำได้ในช่วงเวลาสั้นๆเท่านั้น และไม่ใช่ทางออกที่ยั่งยืนต่อไปในอนาคต
นายชาคร ระบุว่า หนึ่งในข้อเสนอที่สำคัญที่จะส่งผลให้ราคาค่าไฟฟ้าต่ำลง คือการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานเพื่อลดผลกระทบจากการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และการผลิตไฟฟ้าอย่างยั่งยืน โดยการกระจายแหล่งเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า เพิ่มสัดส่วนแหล่งพลังงานหมุนเวียนที่มีภายในประเทศในการผลิตไฟฟ้าให้เพิ่มสูงขึ้น เช่น แหล่งพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานน้ำ พลังงานลม เพื่อลดการพึ่งพาก๊าซธรรมชาติซึ่งปัจจุบันเป็นแหล่งเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้าของไทยแต่มีราคาผันผวนต่อปัจจัยภายนอกที่ประเทศไทยไม่สามารถกำหนดได้ นอกจากนั้นการเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนในการผลิตไฟฟ้ายังสอดคล้องและสนับสนุนเป้าหมายในการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี พ.ศ. 2593 ซึ่งภาคพลังงานเป็นภาคที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากที่สุดอีกด้วย
นักวิจัยอาวุโสทีดีอาร์ไอ ระบุว่า การเปลี่ยนผ่านดังกล่าวนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากขาดเครื่องมือทางการเงินเพื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ Climate Finance เพื่อใช้ในการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีให้มีความเหมาะสมกับบริบทการใช้งานในประเทศ ซึ่งแบ่งช่วงเวลาได้เป็น 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ระยะเริ่มต้นพัฒนา ซึ่งเป็นช่วงที่องค์ความรู้ในช่วงนั้นค่อนข้างต่ำและการลงทุนในเทคโนโลยีนั้นมีความเสี่ยงสูง จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐหรือนักลงทุนเฉพาะกลุ่มเป็นหลัก ระยะที่ 2 ช่วงที่เทคโนโลยีกำลังพัฒนามากขึ้น ซึ่งต้องมีการทดสอบระบบและกระจายเทคโนโลยีต่อผู้ใช้ ทำให้การระดมทุนจากภาคเอกชนในลักษณะของกองทุนจะมีบทบาทเพิ่มขึ้น พร้อมกับภาครัฐสามารถช่วยสนับสนุนการลงทุนบางส่วนได้
และระยะที่ 3 คือช่วงที่เทคโนโลยีมีการพัฒนาอย่างเต็มที่ ภาคเอกชน จะมีบทบาทที่เด่นชัดในการเปลี่ยนผ่านของเทคโนโลยีในระยะนี้ โดยรัฐสามารถลดบทบาทลงผ่านการสนับสนุนในรูปแบบการปล่อยเงินกู้ การรับประกันโครงการ หรือการช่วยเหลือภาคเอกชนในการเข้าถึงตลาดทุน อาทิ การออกพันธบัตรสีเขียว (Green Bond) หรือพันธบัตรเพื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Bond)
“จากการพัฒนาเทคโนโลยีทั้ง 3 ระยะข้างต้น จะเห็นได้ว่าภาครัฐควรเข้าไปมีบทบาทใช้เครื่องมือทางการเงินที่มีกลไกและประโยชน์ในการสนับสนุนผู้พัฒนาเทคโนโลยีและภาคเอกชนที่แตกต่างกัน โดยรัฐไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ลงทุนทั้งหมด ซึ่งการสนับสนุนการเงินให้สอดคล้องกับระยะการพัฒนาเทคโนโลยีและสร้างสภาวะตลาดที่เหมาะแก่การลงทุนจะสามารถสนับสนุนและกระตุ้นให้ภาคเอกชนร่วมลงทุนได้” นายชาครระบุว่า
ด้านดร.สิริภา เปิดเผยถึงรายงานการศึกษาเรื่อง Climate Finance for Carbon Neutrality in Thailand ภายใต้โครงการ CASE ว่า มีการประเมินเครื่องมือทางการเงินที่ภาครัฐสามารถนำมาใช้เพื่อกระตุ้นการลงทุนจากภาคเอกชน ได้ 4 มาตรการ ดังนี้