ตามข่าวที่สื่อมวลชนได้มีการเผยแพร่ข่าว “ข้อเรียกร้องปัญหาราคากุ้งตกต่ำ สวนทางกับต้นทุนที่พุ่งต่อเนื่อง” โดยกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งจังหวัดกระบี่ ได้เข้ายื่นหนังสือร้องทุกข์ เรื่อง ราคากุ้งตกต่ำ เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2566 เวลา 10.30 น. ณ ศาลากลางจังหวัดกระบี่
นายเฉลิมชัย สุวรรณรักษ์ อธิบดีกรมประมง ชี้แจงว่า ปี 2566 (เดือนมกราคม - เมษายน) ประเทศไทยมีผลผลิตกุ้งทะเลจากการเพาะเลี้ยงปริมาณรวม 70,839.16 ตัน โดยปริมาณเพิ่มขึ้นเล็กน้อยประมาณ 0.79% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งตั้งแต่ต้นปี 2566 ผลผลิตกุ้งเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภายใต้การดำเนินการตามแผนฟื้นฟู ผลผลิตกุ้งทะเลของประเทศไทย ตามนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โดยคณะกรรมการ บริหารจัดการห่วงโซ่ การผลิตกุ้งทะเลและผลิตภัณฑ์ หรือ ชริมพ์บอร์ด ได้จัดทำโครงการรักษาเสถียรภาพราคากุ้งขาวแวนนาไม (ราคาปากบ่อ) หรือที่เกษตรกรรู้จักกันดีในชื่อ “โครงการประกันราคากุ้งขาวแวนนาไม” ซึ่งเป็นโครงการที่ผู้ประกอบการห้องเย็น และ โรงงานแปรรูปจะรับซื้อผลผลิตกุ้งจากเกษตรกรในราคาที่ไม่ต่ำกว่าราคาที่ชริมพ์บอร์ดประกาศ ดำเนินการมาตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2564และจะสิ้นสุดโครงการฯ ในวันที่ 30 มิถุนายน 2566
โดยจากการประกาศราคาประกันของชริมพ์บอร์ดตั้งแต่เดือนตุลาคม 2564 เป็นต้นมา จนถึงปัจจุบัน ส่งผลให้ราคากุ้งทะเลภายในประเทศปรับตัวสูงขึ้น ถึงแม้ว่าราคากุ้งจะลดลงในช่วงที่ผ่านมาเนื่องจากมีผลผลิตกุ้งออกสู่ตลาดมากขึ้น แต่ราคากุ้งปากบ่อยังคงสูงกว่าราคาประกันที่ชริมพ์บอร์ดประกาศไว้
อย่างไรก็ตาม ชริมพ์บอร์ดได้ตระหนักถึงข้อกังวลของเกษตรกรในประเด็นราคากุ้งทะเลที่ลดต่ำลง ซึ่งมีเกษตรกรหลายพื้นที่ได้ยื่นหนังสือขอความช่วยเหลือจากภาครัฐผ่านผู้ว่าราชการจังหวัด โดยชริมพ์บอร์ดได้มีการประชุมคณะกรรมการฯ ครั้งที่ 4/2566 เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2566 ซึ่งมีอธิบดีกรมประมง ในฐานะประธานกรรมการ เป็นประธานการประชุมฯ เพื่อพิจารณาโครงการเร่งด่วนช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งทะเล ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้กรมการค้าภายในจัดทำโครงการ 2 โครงการ ดังนี้
1. โครงการเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งโดยเชื่อมโยงการจำหน่ายกุ้งทะเลภายในประเทศ ซึ่งมีเป้าหมายดูดซับผลผลิตกุ้งทะเลปริมาณรวม 5,000 ตัน ระยะเวลาดำเนินการ 2 เดือน เพื่อให้มีการบริโภคภายในประเทศ โดยรัฐช่วยชดเชยส่วนต่างราคาให้เกษตรกรในอัตรากิโลกรัมละ 20 บาท และค่าใช้จ่ายดำเนินการด้านการตลาดในอัตรากิโลกรัมละ 10 บาท รวมเป็น 30 บาทต่อกิโลกรัม โดยเสนอขอรับการสนับสนุนเงินจากกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร กระทรวงพาณิชย์
2. โครงการจัดหาปัจจัยการผลิตราคาถูก เพื่อลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกร (โครงการระยะยาว)
รวมทั้งส่งเสริมความรู้ให้แก่เกษตรกรในการลดต้นทุนการเลี้ยง เพื่อให้เกษตรกรมีต้นทุนการเลี้ยงที่ลดลงและมีรายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นแนวทางการช่วยเหลือเกษตรกรให้สามารถประกอบกิจการการเลี้ยงกุ้งได้อย่างยั่งยืน อาทิ
นอกจากนี้ กรมประมงยังส่งเสริมให้เกษตรกรมีการวางแผนการผลิตเพื่อให้ได้กุ้งตรงตามขนาดที่ตลาดต้องการ และมีการบริหารจัดการผลผลิตให้เหมาะสมกับฤดูกาลผลิต เพื่อลดปัญหาผลผลิตล้นตลาด ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่จะทำให้เกษตรกรสามารถลดความเสี่ยงของการประสบปัญหาราคากุ้งตกต่ำได้อย่างยั่งยืนอีกด้วย