svasdssvasds
เนชั่นทีวี

Business

ทีทีบี คาด กนง. จะขึ้นดอกเบี้ยครั้งสุดท้ายอีก 0.25% ในการประชุม 31 พ.ค. นี้

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี ชี้ เฟดขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ตามคาด ขณะที่ดอกเบี้ยไทยคาดจะขึ้นดอกเบี้ย อีก 0.25% ครั้งสุดท้ายสู่ระดับ 2.00% ในรอบการประชุมเดือนพฤษภาคม ก่อนจะตรึงยาวตลอดปี จับตาตลาดการเงินเสี่ยงผันผวนต่อจากดอลลาร์อ่อนค่า

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics วิเคราะห์ ผลการประชุมกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เมื่อคืนวันที่ 2-3 พฤษภาคมที่ผ่านมาว่า คณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) มีมติเป็นเอกฉันท์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก  0.25% มาอยู่ที่ 5.00-5.25% ตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ซึ่งเป็นการขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 10 สู่ระดับสูงสุดในรอบ 16 ปี

โดยสรุปถ้อยแถลงชี้ว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ยังขยายตัวได้ ตลาดแรงงานแข็งแกร่งและอัตราการว่างงานต่ำ ขณะที่อัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูง ด้านระบบธนาคารพาณิชย์โดยรวมแข็งแกร่ง แต่ภาวะการเงินที่ตึงตัวขึ้นในภาคครัวเรือนและธุรกิจมีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ การจ้างงาน และอัตราเงินเฟ้อในระยะต่อไป

เงินดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้มกลับมาอ่อนค่าหลังเฟดส่งสัญญาณหยุดขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยเฟดเริ่มลดท่าที Hawkish หรือ หันมาใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายขึ้น สวนทางกับท่าทีของธนาคารกลางหลัก เห็นได้จากเครื่องมือ CME FedWatch Tool ล่าสุดที่บ่งชี้ว่า ผู้ลงทุนในตลาดการเงินให้น้ำหนัก 92.6% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งต่อไปวันที่ 14-15 มิถุนายนนี้

ขณะที่ตลาดฯ มองว่าธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะยังมีแนวโน้มขึ้นดอกเบี้ยต่ออีก 50 bps ในการประชุมวันที่ 22 มิถุนายน ซึ่งขนาดการขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่ต่างกันของเฟด และ ECB อาจส่งผลให้เกิดการเคลื่อนย้ายเงินทุนไหลเข้าสู่ตลาดพันธบัตรยุโรป รวมถึงตลาดเกิดใหม่มากขึ้น

สำหรับค่าเงินบาทในช่วงที่ผ่านมาเคลื่อนไหวในลักษณะ Sideways สอดคล้องกับทิศทางของทั้งเงินดอลลาร์สหรัฐและราคาทองคำ ขณะที่นักลงทุนต่างชาติเองก็ยังไม่เร่งรีบกลับเข้ามาซื้อ ทั้งหุ้นหรือตราสารหนี้ไทยเนื่องจากนักลงทุนในตลาด การเงินต่างก็รอลุ้นผลการประชุมเฟด โดย ttb analytics มองว่า เงินบาทในช่วงกลางปี 2566 นี้ อาจได้แรงหนุนจากการแข็งค่าขึ้นเข้าใกล้แนวรับที่ 33.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

ทั้งนี้ ttb analytics คาดว่า กนง. จะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% สู่ระดับ 2.00% ในการประชุมวันที่ 31 พฤษภาคมนี้ ก่อนจะลากยาวตลอดปี 2566 โดยข้อจำกัดเกี่ยวกับเสถียรภาพระบบการเงินจะเป็นแรงกดดันให้ กนง. จะยังไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้ รวมทั้งอัตราเงินเฟ้อที่แม้จะลดลงไปบ้างจากแรงกดดันด้านอุปทานที่ลดลงแต่ถือว่าอยู่ในระดับสูง

และน่าจะยังเจอแรงกดดันจากเงินเฟ้อด้านอุปสงค์ในภาคบริการตามการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว ทำให้ประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) ในช่วงครึ่งปีหลังอาจชะลอลงเล็กน้อยและทรงตัวที่ระดับ 1.5% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (Headline CPI) คาดว่าจะชะลอลงสู่ระดับ 2.3% จากผลของฐานที่สูงปีก่อนหน้า รวมถึงราคาอาหารสดและพลังงานที่ปรับลดลงตามลำดับ