นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) เปิดเผยว่าไตรมาสแรกของปีนี้ นักลงทุนทองคำรายย่อยเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยในส่วนของลูกค้าบริการออมทอง ผ่านโปรแกรม “YLG GOLD SAVING” มียอดการออมเติบโตขึ้นกว่า 60% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่บริการเทรดทองคำ 99.99% กับ YLG ผ่านฟีเจอร์ Gold Wallet บนแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ที่ได้เปิดตัวไปเมื่อเดือน พ.ย.ปีที่ผ่านมาก็ได้รับการตอบรับที่ดีมียอดการเปิดบัญชีเพิ่มขึ้นกว่า 70%
สำหรับปัจจัยที่สนับสนุนมองว่ามาจาก 3 ปัจจัย ดังนี้
1. ราคาทองคำที่มีจังหวะขึ้น และ จังหวะย่อตัวหลายรอบ ทำให้นักลงทุนมีโอกาส เข้าไปซื้อลงทุน และ สามารถขายทำกำไรตามรอบ โดยนักลงทุนที่เข้ามาซื้อ เหล่านี้มีทั้งซื้อสะสมแบบการลงทุนถัวเฉลี่ยต้นทุน โดยการลงทุนในสินทรัพย์มูลค่าเท่ากันอย่างสม่ำเสมอ (DCA) ในลักษณะการถือยาว และ อีกส่วนหนึ่งเป็นการลงทุนออมทองเพื่อเก็งกำไร
2. ประเทศไทยบริโภคทองคำเป็นอันดับ 3 ของเอเชีย รองจาก จีน และอินเดีย เท่านั้น ดังนั้นเมื่อมีโอกาสเข้าถึงทองคำได้ง่าย เช่น การออมทองผ่าน YLG GOLD SAVING และ Gold Wallet บนแอปพลิเคชันเป๋าตัง จึงได้รับการตอบรับอย่างดีจากลูกค้าชาวไทย
3. ทั้ง 2 บริการ เป็นบริการที่เข้าถึงนักลงทุนทุกกลุ่ม โดย YLG GOLD SAVING กำหนดเงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 100 บาท ในรูปแบบการออมสะสม เป็นบริการได้รับการตอบรับดีเกินคาด เนื่องจากเปิดบริการทุกวัน ไม่เว้นวันเสาร์-อาทิตย์ 24 ชั่วโมง ผู้ออมสามารถกำหนดราคาการเข้าซื้อทอง ได้เองจากการดูราคาเคลื่อนไหวแบบเรียลไทม์
สำหรับการเคลื่อนไหวของทองคำในช่วงนี้ YLG มองว่า ระยะสั้นมองแนวโน้มการเคลื่อนไหวในลักษณะแกว่งตัวสลับขึ้นลง หลังจากที่ราคาทองคำปรับตัวขึ้นแรงในกช่วงต้นเดือนเมษายน โดยมีแนวรับที่ 1,969-1,949 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ โดยระดับ 1,949 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เป็นจุดต่ำสุดของเดือนเม.ย. ส่วนแนวต้านอยู่ในโซน 2,004-2,014 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์
โดยในช่วงที่ราคาทองคำปรับฐานนักลงทุนสามารถใช้เป็นจังหวะซื้อสะสม เนื่องจากระยะกลางและระยะยาวทิศทางทองคำยังมีแนวโน้มไปต่อได้เพราะเศรษฐกิจโลกยังน่ากังวล ด้านทองคำในประเทศคาดจะเคลื่อนไหวในกรอบ 31,550-32,600 บาทต่อบาททองคำ ณ ระดับอัตราแลกเปลี่ยน 34.17 บาทต่อดอลลาร์