นายมนตรี มหาพฤกษ์พงศ์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 27 ในเดือนมีนาคม 2566 ภายใต้หัวข้อ “สิ่งที่อยากให้รัฐบาลใหม่ดำเนินการใน 90 วันแรก” จากจากการสำรวจผู้บริหาร ส.อ.ท. (CEO Survey) จำนวน 427 ท่าน ครอบคลุมผู้บริหารจาก 45 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 76 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด พบว่า
ในด้านการแก้ไขปัญหาค่าพลังงาน-ค่าไฟ 77.8 % เห็นว่า สิ่งสำคัญที่ต้องเร่งทำคือ การปรับปรุงโครงสร้างราคาพลังงาน ทั้งระบบ เช่น ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง รองลงมา 70% คือ ปรับลดอัตราค่า Ft ประจำเดือน กันยายน-ธันวาคม 2566 และ 50.6% ต้องการให้ตั้งคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาด้านพลังงาน (กรอ.พลังงาน)โดยเร็ว
การแก้ไขปัญหาต้นทุนวัตถุดิบแพงและการสร้าง Supply Chain Security เรื่องที่รัฐบาลใหม่ควรเร่งทำ 65.3% บอกว่าต้องทบทวนปรับลดโครงสร้างอัตราภาษีนำเข้าในกลุ่มสินค้าวัตถุดิ ที่ไม่กระทบต่อผู้ผลิตในประเทศ 58.3% อยากให้ลดขั้นตอนและค่าธรรมเนียมด้านศุลกากร
ส่งเสริมการใช้งานแพลตฟอร์มการค้าดิจิทัลระหว่างประเทศของไทย เช่น National Digital Trade Platform (NTDP) และ 54.6% ขอให้จัดทำแผนพัฒนาและรองรับปัญหาการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Disruption) โดยเฉพาะสินค้าจำเป็นของประเทศ
สำหรับปัญหาด้านต้นทุนทางการเงิน 60% อยากให้รัฐบาลใหม่ ลดภาระต้นทุนการผลิตให้แก่ SMEs ที่อยู่ในระบบภาษี เช่น ลดค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ลดค่าธรรมเนียมต่างๆ เป็นต้น 59.5% อยากให้ปรับปรุงเงื่อนไขการขอรับสิทธิประโยชน์ส่งเสริมการลงทุนสำหรับ SMEs ให้สะดวกและง่ายยิ่งขึ้น รวมทั้งเพิ่มสิทธิประโยชน์ใหม่ๆ และ 58.3% ขอรัฐออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง และเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ประชาชน
นายมนตรี กล่าวต่อว่า ในด้านของการแก้ปัญหาแรงงาน 65.8% สนับสนุนระบบการจ่ายค่าจ้างแรงงานตามทักษะฝีมือ และรัฐต้องปรับปรุงระบบสวัสดิการแรงงานเพื่อลดค่าใช้จ่ายให้กับแรงงาน 65.1% จัดสรรงบประมาณในการเพิ่มประสิทธิภาพแรงงานให้เหมาะสมกับธุรกิจยุคใหม่ และ 63% กำหนดให้การเพิ่มผลิตภาพแรงงานเป็นวาระแห่งชาติ (Labour Productivity)
โดยด้านสุดท้ายซึ่งเป็นปัญหาสำคัญ คือการแก้ไขปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน 74.7% ต้องการให้รัฐบาลใหม่ ปรับปรุงกฎหมายลำดับรองที่เกี่ยวข้องกับการอนุมัติอนุญาตภาครัฐ และที่เป็นอุปสรรคต่อการประกอบธุรกิจ รวมทั้งยกเลิกกฎหมายที่ล้าสมัย
62.1% ปรับปรุงกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐให้เป็นระบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่อแก้ปัญหาการฮั้วประมูล และ 58.3% ปรับรูปแบบจากระบบการขออนุมัติอนุญาตจากหน่วยงานภาครัฐมาเป็นการรายงานผลการปฏิบัติตามกฎหมายและตรวจติดตามผล