แนวโน้มสถานการณ์ราคาก๊าซธรรมชาติแอลเอ็นจีน ในตลาดโลกที่ราคาลดลง รวมทั้งปริมาณก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยที่ทยอยปรับเพิ่มขึ้น และอัตราแลกเปลี่ยนที่อ่อนค่า ประกอบ กับภาคนโยบาย (กพช.) ไม่มีนโยบายขยายเวลาการจัดสรรก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยให้ประชาชนก่อน ส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมและประชาชนต้องจ่ายค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ หรือ ค่าเอฟที ในอัตราเดียวกันตามต้นทุนการผลิต ดังนั้น กกพ. จึงจะเสนอรับฟัง ความเห็น 3 ทางเลือกในการจ่ายคืนภาระต้นทุนที่เกิดขึ้นจริง (คงค้าง) กฟผ. ในอัตรา 293.60 105.25 และ 98.27 สตางค์ต่อหน่วย
นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ในฐานะโฆษกคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดเผยว่า กกพ. ในการประชุมครั้งที่ 12/2566 (ครั้งที่ 840) เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2566 มีมติรับทราบภาระต้นทุนค่าเอฟที่ประจำรอบ ก.ย. - ธ.ค. 2565 และ เห็นชอบผลการคำนวณประมาณค่าเอฟทีสําหรับงวดเดือน พ.ค. - ส.ค. 2566 ใน 3 แนวทาง พร้อมให้นำไปเปิดรับฟังความคิดเห็นดังนี้
กรณีที่ 1 จ่ายคืนภาระต้นทุนคงค้างให้ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หรือ กฟผ. ทั้งหมดภายในงวดเดียวจำนวน 150,268 ล้านบาท จะทำให้ค่าเอฟทีเรียกเก็บประจำงวดเดือน พ.ค. - ส.ค. 2566 เพิ่มขึ้นจำนวน 293.60 สตางค์ต่อหน่วย แบ่งเป็น เอฟทีขายปลีกจำนวน 63.37 สตางค์ต่อหน่วย และเงินเรียกเก็บเพื่อชดเชยต้นทุนกฟผ. 230.23 สตางค์ต่อหน่วย ทำให้ค่าไฟฟ้าเอฟที รวมเพิ่มขึ้นเป็น 6.72 บาทต่อหน่วย
กรณีที่ 2 จ่ายคืนภาระต้นทุนคงค้างใน 5 งวดจำนวน 136,686 ล้านบาท แบ่งจ่ายงวดละ 27,337 ล้านบาท ค่าเอฟทีเรียกเก็บประจำงวดเดือน พ.ค. - ส.ค. 2556 จำนวน 105.25 สตางค์ต่อหน่วย แบ่งเป็นเอฟที่ขายปลีก 63.37 สตางค์ต่อหน่วย และเงินทยอยเรียกเก็บเพื่อชดเชยต้นทุนกฟผ. 41.88 สตางค์ต่อหน่วย โดย กฟผ. จะต้องบริหาร ภาระต้นทุนที่เกิดขึ้นจริงแทนประชาชนจำนวน 109,349 ล้านบาท ทำให้ค่าไฟฟ้าเอฟที ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 4.84 บาทต่อหน่วย
กรณีที่ 3 จ่ายคืนภาระต้นทุนคงค้างใน 6 งวด จำนวน 136,686 ล้านบาท แบ่งจ่าย งวดละ 22,781 ล้านบาท ค่าเอฟทีเรียกเก็บประจำงวดเดือน พ.ค. - ส.ค. 2556 จำนวน 98.27 สตางค์ต่อหน่วย แบ่งเป็นเอฟที่ขายปลีก 63.37 สตางค์ต่อหน่วย และ เงินทยอยเรียกเก็บเพื่อชดเชยต้นทุน งวดละ 34.90 สตางค์ต่อหน่วย โดย กฟผ. จะต้องบริหารภาระ ต้นทุนที่เกิดขึ้นจริงแทนประชาชนจำนวน 113,905 ล้านบาท ทำให้ค่าไฟฟ้าเอฟที ปรับเพิ่มขึ้น เป็น 4.77 บาทต่อหน่วย
นายคมกฤช กล่าวว่า การประมาณการค่าไฟฟ้าดังกล่าว เป็นไปตามประกาศ กกพ. เรื่อง กระบวนการ และขั้นตอนการใช้สูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ โดยมีสมมุติฐานและปัจจัยในการพิจารณาค่าเอฟทีใน รอบเดือน พ.ค. - ส.ศ. 2566 ตามการประมาณราคาก๊าซจาก ปตท. และผลการคำนวณค่าเอฟทีของ กฟผ. โดยมีปัจจัยที่สำคัญๆ ดังต่อไปนี้
1.การจัดหาพลังงานไฟฟ้าในช่วงเดือน พ.ค. - ส.ค. 2566 เท่ากับประมาณ 72,220 ล้าน หน่วย เพิ่มขึ้น 4,387 ล้านหน่วยจากประมาณการงวดก่อนหน้า (เดือน ม.ค. – เม.ย. 2566) ที่คาดว่าจะมีการ จัดหาพลังงานไฟฟ้าเท่ากับ 67,833 ล้านหน่วย หรือเพิ่มขึ้น 6.47%
2. สัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าในช่วงเดือน พ.ค. - ส.ค. 2566 ยังคงใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลัก 57.80% ของเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด นอกจากนี้เป็นการซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศ (ลาวและมาเลเซีย) รวม 17.34% ทั้งนี้ ประมาณการการใช้ก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้นถึง 6.75% จากรอบเดือน ม.ค. - เม.ย. 2566 เพื่อรองรับการใช้ LNG เพิ่มมากขึ้นจากแนวโน้ม ราคา LNG ในตลาดโลกที่มีราคาลดเพื่อทดแทนการใช้น้ำมันดีเซลและน้ำมันเตาในการผลิตไฟฟ้าในช่วงวิกฤต ราคา LNG
3. ราคาเชื้อเพลิงเฉลี่ยที่ใช้ในการคำนวณค่าเอฟทีเดือน พ.ค. - ส.ค. 2566 เปลี่ยนแปลงจาก การประมาณการในเดือน ม.ค. – เม.ย. 2566 โดยราคาเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิต ไฟฟ้ามีการปรับตัวลดลงอย่างมากโดยเฉพาะราคา LNG ในตลาดจร ที่ลดลงจาก 29.6 เหรียญสหรัฐต่อล้านบีทียูเป็น 19-20 เหรียญสหรัฐต่อล้านบีทียู ในขณะ ที่ราคาน้ำมันดีเซลและน้ำมันเตาปรับตัวลดลงเล็กน้อยในรอบเดือน พ.ค. - ส.ค. 2566
4. อัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ย ที่ใช้ในการประมาณการ ซึ่งใช้อัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ย 1 เดือน ย้อนหลังก่อนทําประมาณการ (1 – 31 ม.ค. 2566) เท่ากับ 33.23 บาทต่อเหรียญสหรัฐ อ้างอิงข้อมูลธนาคาร แห่งประเทศไทยเป็นฐานซึ่งแข็งค่าขึ้นจากประมาณการในงวดเดือน ม.ค. - เม.ย. 2566 ที่ประมาณการไว้ที่ 35.68 บาทต่อเหรียญสหรัฐซึ่งลดลง 2.45 บาทต่อเหรียญสหรัฐ
ทั้งนี้ กกพ.จะเปิดรับฟังความคิดเห็นวันที่ 10-20 มี.ค. 2566 และ นำข้อเสนอจากผู้ใช้ไฟและผู้เกี่ยวข้องมาพิจารณาในการประชุมบอร์ดกกพ.อีกครั้งวันที่ 22 มี.ค. 2566 และประกาศเป็นทางการวันที่ 23 มี.ค. 2566