นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เปิดเผยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือ จีดีพี ไตรมาส 4/65 พบว่า ขยายตัว 1.4% ลดลงจากไตรมาส3/65 ที่ขยายตัว 4.6% เนื่องจากการถดถอยของเศรษฐกิจโลกที่ถดถอยเร็วกว่าคาดการณ์ไว้
ทำให้ปริมาณการส่งออกติดลบกว่า 10.5% โดยเฉพาะในกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ และ ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ ขณะที่การอุปโภคบริโภคของรัฐบาลที่ติดลบ 8% เนื่องจากมีการโอนเงินสวัสดิการ การรักษาพยาบาลค่อนข้างมากจากสถานการณ์โควิด -19 ทำให้ภาพรวมจีดีพี ปี 2565 ขยายตัวเพียง 2.6% จากที่คาดการณ์ไว้ในระดับ 3.2%
ขณะที่แนวโน้มจีพีดี ในปี 2566 คาดว่าจะอยู่ในช่วง 2.7-3.7% ลดลงจากเดิมที่คาดการร์ว่าจะอยู่ในกรอบ 3-4% โดยมูลค่าการส่งออกติดลบ 1.6% อัตราเงินเฟ้อ 2.5-3.5% โดยปัจจัยบวกที่จะช่วยพยุงเศรษฐกิจมากที่สุดในขณะนี้คือ ภาคการท่องเที่ยวที่ขยายตัวสูง และ เห็นว่ามาตรการที่สามารถทำได้เลยโดยไม่ต้องใช้งบประมาณสนับสนุน ในช่วงไตรมาส1
คือการจัดโปรแกรมส่งเสริมการท่องเที่ยว เพื่อดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติ ให้อยู่นานขึ้นและใช้จ่ายเพิ่มขึ้น จากปัจจุบันที่มีการใช้จ่ายอยู่ที่ 6 หมื่นบาทต่อคนต่อทริป ทั้งนี้ประเมินทั้งปี 2566 จะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไทย จำนวน 28 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากเดิมที่คาดว่าจะมีจำนวน 23.5 ล้านคน
สำหรับแนวโน้มของการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภค ของภาคเอกชนคาดว่าจะขยายตัวได้ 3.2% การใช้จ่ายรัฐบาลคาดว่าจะติดลบ 1.5% การลงทุนรวมคาดว่าจะขยายตัว 2.2% แบ่งเป็นการลงทุนเอกชน 2.1% และการลงทุนภาครัฐที่คาดว่าจะขยายตัว 2.7%
สำหรับปัจจัยเสี่ยง ยังคงต้องติดตามเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะประเทศคู่ค้าที่ถดถอยลง ทำให้รัฐต้องเร่งหาตลาดส่งออกใหม่ๆชดเชย เพื่อขยายตลาดการส่งออกของไทย รวมทั้งการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด และปัญหาความขัดแย้งของรัสเซียและยูเครนที่ประเมินสถานการณ์ได้ยาก
จึงต้องติดตามอย่างใกล้ชิดเพราะอาจจะกระทบต่อราคาพลังงานได้ สำหรับปัจจัยภายในคือหนี้สินต่อครัวเรือน ที่อยู่ในระดับสูง 86% ต่อจีดีพี รวมทั้งบรรยากาศการเลือกตั้ง ที่ต้องช่วยกันไม่ทำให้เกิดความขัดแข้ง ที่นำไปสู่ความไม่เชื่อมั่นของนักลงทุนและประชาชนโดยทั่วไป