นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม รักษาการเลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรม ได้ทำหนังสือถึง นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย และ นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อขอความร่วมมือในการบูรณาการทำงาน ร่วมกันในการขับเคลื่อน แผนปฏิบัติการ “แก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” หรือฝุ่น PM2.5 พ.ศ.2562-2567
เนื่องจากทั้ง 2 กระทรวง มีบทบาทสำคัญในการกำกับดูแลพื้นที่ครอบคลุมทั่วประเทศ โดยได้ขอความร่วมมือกำชับหน่วยงานระดับจังหวัด อำเภอ และตำบล เร่งให้ความสำคัญในการป้องปรามปัญหาการลักลอบเผาอ้อยเพื่อลดผลกระทบจากวิกฤตด้านฝุ่น PM 2.5 ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เพื่อให้บรรลุตามแผนการแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละอองในพื้นที่อย่างใกล้ชิด
นายภานุวัฒน์ กล่าวต่อว่า แม้ที่ผ่านมา กระทรวงอุตสาหกรรม จะดำเนินมาตรการควบคุมปริมาณอ้อยลักลอบเผาอย่างต่อเนื่อง เช่น การขอรับเงินสนับสนุนจากภาครัฐตามโครงการช่วยเหลือชาวไร่อ้อยตัดอ้อยสดคุณภาพดีเพื่อลดฝุ่น PM 2.5 ชดเชยดอกเบี้ย ให้เกษตรกรชาวไร่อ้อย สำหรับบริหารจัดการแหล่งน้ำ และ ซื้อเครื่องจักรกลการเกษตรในไร่อ้อย เป็นต้น
แต่จากข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายระหว่างวันที่ 1 ธันวาคม 2565 ถึงวันที่ 31 มกราคม 2566 พบว่า ยังมีการลักลอบเผาอ้อยสูงถึง 29.81% ของปริมาณอ้อยทั้งหมด นับจากวันที่เปิดหีบ จำนวนกว่า 15 ล้านตัน เทียบเท่าได้กับการเผาป่าจำนวน 1.5 ล้านไร่ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดฝุ่น PM 2.5 ที่หนาแน่นผิดปกติในหลายพื้นที่ทั้งในภูมิภาคและกรุงเทพมหานครในปัจจุบัน
โดยจังหวัดที่มีการลักลอบเผาอ้อยมากที่สุด 15 ลำดับ ได้แก่ นครราชสีมา อุดรธานี กาฬสินธุ์ เพชรบูรณ์ ขอนแก่น สุพรรณบุรี อุทัยธานี นครสวรรค์ กาญจนบุรี เลย หนองบัวลำภู ลพบุรี สระแก้ว ชัยภูมิ และมุกดาหาร
โดยอัตราการลักลอบเผาอ้อยที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้เกิดมลพิษทางอากาศในวงกว้าง ก่อให้เกิดปัญหาในหลายจังหวัด อีกทั้งยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะในสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 การหายใจรับฝุ่น PM 2.5 จะส่งผลให้ภูมิต้านทานของร่างกายอ่อนแอลง โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาแพร่ระบาดได้ง่ายขึ้น ผู้ติดเชื้อมีอาการรุนแรง และนำไปสู่อัตราการเสียชีวิตที่เพิ่มขึ้น
อีกทั้งยังส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวและภาคบริการที่กำลังฟื้นตัวในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวหรือ “ไฮซีซัน” และอาจทำให้เกิดการสูญเสียโอกาสจากการเปิดของประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนซึ่งนับเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มสำคัญของไทย