โกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ได้ประเมิน กรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้ว่าจะอยู่ที่ 32.50-33.30 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นการขยับแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง โดยนับตั้งแต่วันที่ 3 ม.ค.- 20 ม.ค. 2566 พบว่า ค่าเงินบาทของไทยขยับแข็งค่าขึ้นแล้วกว่า 5.30% และเมื่อเทียบกับประเทศ อื่นๆ ในภูมิภาค ค่าเงินบาทของไทยแข็งค่าขึ้นมากที่สุด ยกตัวอย่างเช่น ประเทศเวียดนามซึ่งเป็นประเทศคู่แข่ง ด้านการส่งออกของไทย ที่ค่าเงินแข็งค่าขึ้นเพียง 0.81% มาเลเซีย 2.58% และ อินเดีย 1.88%
24 มกราคม 2566 ดร.ชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย(สรท.) กล่าวว่า ขณะนี้สมาชิกผู้ส่งออก ต่างได้รับผลกระทบ จากค่าเงินบาท ที่แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะผู้ผลิต เพื่อส่งออกกลุ่มสินค้าเกษตร และ กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม ที่มีสัดส่วนการใช้วัตถุดิบในประเทศสูง อาทิ กลุ่มสินค้าผักและผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็ง และแห้ง กระป๋องและแปรรูป
ที่เริ่มกลับมาฟื้นตัวในปี 2564 จากเงินบาทอ่อนค่า แต่มูลค่าส่งออกกลับหดตัวในไตรมาส 3-4 ของปี 2565 และ ต่อเนื่องมายังไตรมาส 1 ปี 2566 เมื่อค่าเงินบาทเริ่มกลับมาแข็งค่า โดยการแข็งค่าของเงินบาท ส่งผลต่อการกำหนดราคา และ ขีดความสามารถ ในการแข่งขันของผู้ส่งออกไทย เมื่อเปรียบเทียบกับคู่ค้าของไทย ที่ค่าเงินอ่อนกว่า ดังนั้น หากไม่สามารถรักษาเสถียรภาพค่าเงินบาท จะส่งผลให้มูลค่าการส่งออกสินค้า ที่มีสัดส่วนการใช้วัตถุดิบในประเทศสูงลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และ ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ
คณะกรรมการสรท. จึงได้พิจารณาข้อเสนอแนะแนวทางบรรเทาปัญหาและช่วยเหลือผู้ประกอบการส่งออกไทย ต่อ ธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อพิจารณาดำเนินการ ดังนี้
1.ขอให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) พิจารณา “ชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย” ออกไป เนื่องจากจะส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์ปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ ซึ่งเป็นต้นทุนอย่างมีนัยสำคัญต่อผู้ประกอบการทั้งซัพพลายเชน และ เป็นการซ้ำเติมผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวสูงขึ้น เช่น วัตถุดิบ ค่าไฟฟ้า ค่าแรงขั้นต่ำ เป็นต้น
2.ขอให้ ธปท. ดำเนินมาตรการอย่างเข้มข้นเพื่อ รักษาเสถียรภาพค่าเงินบาทในระดับ 34-35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ ในอัตราที่ไม่แข็งค่าไปกว่าประเทศคู่ค้าและคู่แข่งอย่างมีนัยสำคัญ
3.ขอให้ ธปท. กำหนดมาตรการและเครื่องมือในการตรวจสอบ ติดตาม กระแสเงินไหลเข้าประเทศอย่างรวดเร็ว รวมถึงขอความร่วมมือไปยังสถาบันการเงิน ให้ติดตามข้อมูลการโอนเงินบาท ระหว่างบัญชีผู้มีถิ่นฐานนอกประเทศ (Non-resident Baht Account) จากสัญญาณของธุรกรรมการเงินต่างประเทศที่เริ่มมีความหนาแน่นกว่าปกติ
4.ขอให้ ธปท. และธนาคารพาณิชย์ พิจารณาอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการในการเลือกใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยง (Hedging) อาทิ
5.ขอให้ ธปท. ร่วมกับ สรท. จัดกิจกรรมให้ความรู้ในทางปฏิบัติสำหรับผู้ประกอบการเกี่ยวกับมาตรการและเครื่องมือทางการเงินเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของค่าเงินบาท
ทั้งนี้ สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย ยินดีร่วมมือกับธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อให้สามารถดำเนินการตามข้อเสนอแนะข้างต้น เพื่อช่วยให้ผู้ส่งออกไทยสามารถแข่งขันในตลาดโลกและนำพาให้เศรษฐกิจของประเทศสามารถยืนหยัดได้อย่างมั่นคง