คดีว่าด้วยการนับระยะเวลาการดำรงตำแหน่งนายกฯของ "พล.อ.ประยุทธ์" ว่า ครบ 8 ปี ตามนัยแห่งรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 มาตรา 158 วรรค 4 ก่อผลสะเทือนรุนแรงอย่างไม่น่าเชื่อ
ทั้งในแง่ของผลคดีที่จะออกมา และความน่าเชื่อถือขององค์กรอิสระ ตลอดจนผู้ที่เกี่ยวข้องแทบทุกคนทุกฝ่าย โดยเฉพาะบรรดา "นักกฎหมายชั้นครู" นับตั้งแต่เกิด "เทศกาลเอกสารหลุด" ทั้งบันทึกการประชุม กรธ. ครั้งที่ 500 ตามมาด้วยคำชี้แจงของ อ.มีชัย ฤชุพันธุ์ อดีตประธาน กรธ. และตบท้ายด้วยบันทึกการประชุม กรธ.ครั้งที่ 501
แต่เรื่องนี้จะยังไม่จบง่ายๆ เพราะมีการตั้งคำถามถึงการใช้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ในลักษณะที่อาจมองได้ว่าเป็นการตอบสนองทางการเมืองส่วนบุคคลหรือไม่ โดยเฉพาะการตั้งคณะกรรมการกฤษฎีกาคณะพิเศษ เพื่อให้วินิจฉัยปม 8 ปี ทั้งๆ ที่เรื่องนี้อยู่ในอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญที่ต้องวินิจฉัยอยู่แล้ว
การตั้ง "คณะกรรมการกฤษฎีกาคณะพิเศษ" ถูกอ้างอิงอยู่ในเอกสารที่อ้างว่าเป็นคำชี้แจงของ"พล.อ.ประยุทธ์" ต่อศาลรัฐธรรมนูญ เอกสารนี้หลุดในสื่อสังคมออนไลน์ เมื่อวันที่ 7 ก.ย.65 ท้ายเอกสารทุกหน้ามีการลงลายมือชื่อ อ่านดูเผินๆ ก็รู้ว่าเป็นลายมือชื่อของ "พล.อ.ประยุทธ์" กับหัวหน้าทีมกฎหมายที่ทำหน้าที่เขียนคำชี้แจง
ข้อมูลในเอกสารนี้อ้างว่า ได้ตั้งคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะพิเศษ) ตาม คำสั่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่ 19/2565 เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการกฤษฎีกาคณะพิเศษ ลงวันที่ 17 มกราคม พ.ศ.2565
"คณะกรรมการกฤษฎีกา" (คณะพิเศษ) นี้ มีความเห็นตามบันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ลับมาก เรื่อง การนับระยะเวลาการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 เรื่องเสร็จที่ 150/2565
โดยความเห็นที่สรุปอย่างรวบรัดก็คือ การนับระยะเวลาการดำรงตำแหน่งนายกฯ ห้ามเกิน 8 ปี ตามมาตรา 158 วรรค 4 หมายถึงระยะเวลาการดำรงตำแหน่งที่เข้าดำรงตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญปี 60 เท่านั้น ไม่รวมถึงการดำรงตำแหน่งนายกฯตามรัฐธรรมนูญชั่วคราว พ.ศ.2557 ช่วงก่อนที่รัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 จะใช้บังคับ
คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะพิเศษ) มี 7 คน ทั้งหมดเป็นอดีตกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) และมีเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาคนปัจจุบันรวมอยู่ด้วย
หน้าที่ของคณะกรรมการกฤษฎีกา ตามพระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ.2522 สรุปง่ายๆ มีอยู่ 2 อย่าง คือ พิจารณาร่างกฎหมาย (ทั้งยกร่าง และตรวจร่าง) และการรับปรึกษาเพื่อให้ความเห็นทางกฎหมาย
การตั้งคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะพิเศษ) เพื่อพิจารณาประเด็นการนับระยะเวลาดำรงตำแหน่งนายกฯ 8 ปี ตามมาตรา 158 วรรค 4 ชัดเจนว่าไม่ได้เป็นการ "ร่างกฎหมาย" หรือ "ตรวจร่างกฎหมาย" แต่เป็นการ "รับปรึกษาเพื่อให้ความเห็นทางกฎหมาย"
เรื่องนี้มีระเบียบว่าด้วยการรับปรึกษาให้ความเห็นทางกฎหมายของกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ.2522 เป็นหลักอยู่
ระเบียบข้อ 9 กรรมการกฤษฎีกาจะไม่พิจารณาให้ความเห็นทางกฎหมายในเรื่องดังต่อไปนี้
(1) เรื่องที่มีการฟ้องร้องเป็นคดีอยู่ในศาล
(2) เรื่องที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของสถาบันอื่นอยู่แล้วตามกฎหมาย และกรรมการกฤษฎีกาเห็นว่าสมควรให้มีการดำเนินการตามกฎหมายนั้นก่อน เพื่อประโยชน์แก่การบริหารราชการแผ่นดิน
(3) เรื่องซึ่งหากให้ความเห็นแล้วจะมีผลกระทบกระเทือนในทางการเมือง หรือทางการต่างประเทศ
ทั้งนี้ เว้นแต่จะเป็นเรื่องที่คณะรัฐมนตรี หรือนายกรัฐมนตรี จะได้มีมติหรือคำสั่งเป็นการภายในให้พิจารณา
ตรวจสอบจากระเบียบที่ยกมา พอจะเห็นร่องรอยว่า คำสั่งตั้งคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะพิเศษ) น่าจะสั่งโดย พล.อ.ประยุทธ์ นั่นเอง ส่วนจะถึงขั้นใช้มติ ครม.เลยหรือไม่ ยังไม่ทราบ แต่ที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีข่าวว่ามีมติ ครม.ในเรื่องนี้
คำถามก็คือ การสั่งให้ตั้งคณะกรรมการกฤษฎีกาคณะพิเศษ (ทั้งๆ ที่มีคณะปกติก็มีอยู่แล้วถึง 14 คณะ) เป็นความถูกต้องเหมาะสมหรือไม่ และเรื่องระยะเวลาการดำรงตำแหน่งนายกฯ 8 ปี มีหน่วยงานที่จะชี้ขาดอยู่แล้วใช่หรือเปล่า นั่นก็คือ ศาลรัฐธรรมนูญ
ที่สำคัญ เมื่อคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะพิเศษ) ให้ความเห็นไปแล้ว มีผลกระทบกระเทือนในทางการเมืองใช่หรือไม่
เรื่องเหล่านี้ วิญญูชนทั่วไปที่ติดตามข่าวสารก็น่าจะพิจารณาได้ว่าเข้าเงื่อนไขที่เป็นข้อห้ามตามระเบียบหรือไม่ ซึ่งระเบียบนี้ คนในคณะกรรมการกฤษฎีกาบอกว่า เป็นประเพณีปฏิบัติที่ยึดถือกันมาโดยเคร่งครัดและยาวนาน
แต่ "นายกฯประยุทธ์" กลับนำความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาไปอ้างในการต่อสู้คดี (แบบนี้ถือว่าเป็นการนำความเห็นที่สั่งกันภายใน ไปยันกับคนนอก หรือองค์กรภายนอกหรือเปล่า) แถมกรรมการทั้ง 7 คน ก็เป็นอดีตกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ และเป็น "นักกฎหมายชั้นครู" อีกด้วย
แบบนี้เท่ากับเป็นการกดดัน บังคับวิถีให้ศาลต้องตัดสินไปตามความเห็นของนักกฎหมายระดับปรมาจารย์ แถมยังเป็นคนยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ด้วย...ใช่หรือไม่
เพราะหากนายกฯประยุทธ์ ไม่ต้องการชี้นำศาล ก็ควรปล่อยให้ศาลเรียกข้อมูลและความเห็นของนักกฎหมายและอดีต กรธ.เหล่านี้ไปพิจารณา ซึ่งเป็นไปตาม "ระบบไต่สวน" ที่ใช้ในศาลรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว
ถึงวันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องตอบว่าเอกสารที่ว่อนอยู่ในโซเชียลฯนั้น เป็นเอกสารชี้แจงของท่านจริงหรือไม่ ถ้าจริง...แสดงว่าท่านตั้งคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะพิเศษ) ขึ้นมาตีความหรือให้ความเห็นทางกฎหมายในปัญหาของตัวท่านเอง (ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับประเทศชาติและความเป็นอยู่ ความเป็นความตายของพี่น้องประชาชน) ใช่หรือไม่
แบบนี้เรียกว่าผลประโยชน์ทับซ้อนหรือเปล่า ท่านคงวินิจฉัยได้ดี แม้ระเบียบจะเปิดช่องให้ท่านในฐานะนายกรัฐมนตรี สามารถสั่งให้ดำเนินการได้ก็ตาม แต่ก็ยังมีคำถามเรื่องความเหมาะควร และเจตนารมณ์ของการ "เปิดช่อง" ก็ไม่น่าจะให้ใช้ในเรื่องแบบนี้
จากการสังเกตการณ์ความเคลื่อนไหวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในระยะที่ผ่านมา ผมเชื่อว่าสุดท้าย พล.อ.ประยุทธ์ จะรอดจากปม 8 ปี
แต่การที่ท่านรอด แล้วทำให้อีกหลายๆ องคาพยพในบ้านเมืองได้พังลง หรือสิ้นศรัทธาไป โดยเฉพาะองค์กรทางกฎหมายและองค์กรบังคับใช้กฎหมายแล้วไซร้ ย่อมต้องชั่งน้ำหนักให้ดีว่ามันคุ้มกันหรือไม่ที่ประเทศไทย คนไทย ต้องเดิมพันกับท่านมากมายถึงเพียงนี้!