ครบรอบ 1 ปี "ไฟไหม้โรงงานหมิงตี้ฯ" มหาอัคคีภัยย่านกิ่งแก้ว

     วันที่ 5 ก.ค. 65 หากย้อนกลับไปเมื่อหนึ่งปีก่อน ในช่วงกลางดึกวันเดียวกันนี้ (5 ก.ค. 64) ได้เกิดเหตุเพลิงไหม้ครั้งใหญ่และอีกครั้งสำคัญของประเทศไทย ในพื้นที่กิ่งแก้ว ต.ราชาเทวะ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ เป็นเหตุเพลิงไหม้ บริษัท หมิงตี้เคมีคอล จำกัด ที่เป็นโรงงานผลิตเม็ดโฟมพลาสติก ภายในซอยกิ่งแก้ว 21  

     ความรุนแรงของเหตุเพลิงไหม้ครั้งนี้ มีความรุนแรงเป็นอย่างมาก นอกจากเพลิงที่ลุกไหม้ ยังมีการระเบิดขึ้นเป็นระยะ ส่วนการดับเพลิงก็เป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะโรงงานแห่งนี้เป็นที่เก็บสารเคมีที่เป็นวัตถุดิบสำหรับผลิตเม็ดพลาสติกจำนวนมาก ประกอบด้วย เพนเทน 60 - 70 ตัน , สไตรีนโมโนเมอร์ประมาณ 1,600 ตัน ,  น้ำประมาณ 300 ตัน 

     การควบคุมเพลิงจึงจำเป็นต้องใช้โฟมเข้ามาดับไฟ โดยศูนย์อำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยฯ ต้องระดมโฟมดับไฟจำนวนรวมกว่า 66,000 ลิตร และใช้เฮลิคอปเตอร์ KA-32 ของกองทัพบก โปรยสารเคมีทางอากาศ และสนธิกำลังกับหน่วยงานภาคพื้นดินเข้าฉีดพ่นโฟมดับเพลิงอย่างทุลักทุเล และต้องใช้เวลากว่า 24 ชั่วโมง ในการควบคุมเพลิง กว่าจะสงบคือถึงช่วงสายของวันที่ 6 ก.ค. 64 

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

• "สดุดีผู้อยู่เบื้องหลังของภารกิจ ดับไฟไหม้โรงงานหมิงตี้"

     เหตุเพลิงไหม้และระเบิดของ บริษัท หมิงตี้เคมีคอล จำกัด ครั้งนี้ ทำให้มีบ้านเรือนประชาชนจำนวนมากเสียหาย เนื่องจากมีกว่า 243 ชุมชนรายล้อมอยู่ โรงงานอุตสาหกรรม 301 แห่งที่ต้องปิดดำเนินการอย่างไม่มีกำหนด ผู้คนที่อยู่ในรัศมี 5 กิโลเมตร ต้องอพยพและต้องสวมหน้ากากอนามัย เพื่อเลี่ยงการสูดดมกลิ่นควันไฟที่มีสาร "สไตรีน โมโนเมอร์" ซึ่งเป็นสารอันตราย ต่อร่างกาย และเป็นสารก่อมะเร็ง ต้องใช้เวลาอีกหลายวันกว่าจะย้ายกลับไปยังที่อยู่อาศัยได้

    เบื้องต้นสำรวจพบบ้านเรือนเสียหายกว่า 155 หลัง รถยนต์เสียหาย 138 คัน รถจักรยานยนต์ 12 คัน แจ้งความแล้วจำนวน 1,266 ราย ความเสียหายไม่น้อยกว่า 423 ล้านบาท ประชาชนและอาสาสมัครได้รับบาดเจ็บไม่น้อยกว่า 30 ราย และมีเจ้าหน้าที่เสียชีวิต 1 ราย คือ นายกรสิทธิ์ ราวพันธ์ วัย 19 ปี หรือพอส ธน 28-78 อาสาสมัครฯ หน่วยสมเด็จเจ้าพระยา ธน 28-18 ฐานเทคโน  

     ส่วนการเยียวยาความเสียหาย เบื้องต้นพบว่า บริษัท หมิงตี้เคมีคอล จำกัด มีการทำประกันไว้ 3 กรมธรรม์ รวมวงเงินมูลค่ากว่า 400 ล้านบาท ซึ่งหลังเกิดเหตุหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่าง กระทรวงอุตสาหกรรม และ คปภ. ได้สั่งให้โรงงานดำเนินการตาม พ.ร.บ.โรงงาน มาตรา 39 (1) มีการเยียวยาความเสียหายทั้งระยะสั้นและระยะยาว โดยระยะเร่งด่วนให้มีการตั้งจุดรับเรื่องร้องทุกข์ 3 แห่ง  คือ 1.หน้าโรงงานหมิงตี้ 2.สถานีตำรวจบางแก้ว และ 3.สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรปราการ เพื่อลงชื่อรับการเยียวยาในเบื้องต้น 

     อย่างไรก็ตามภายหลังได้มีดราม่าในโซเชียลหลังมีประชาชนที่ได้รับผลกระทบออกมาโวยวายว่า ได้เงินเยียวยาต่ำสุดเพียง 40 บาท  และส่วนใหญ่ ได้รับการเยียวยาอยู่ที่หลักร้อย หลักพัน และสูงสุดคือ 49,500 บาท ตามงบสูงสุด ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเร่งตรวจสอบและชี้แจงว่า ผู้เสียหายยื่นเรื่องไปที่นายอำเภอ มีเอกสารภาพถ่ายประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการเพียงกระจกบานเกล็ด 2 บาน ซึ่งคณะกรรมการพิจารณาถึงข้อเท็จจริงว่ากระจก 2 บาน ตามราคาพาณิชย์อยู่ที่บานละ 20 บาท รวมเป็นเงิน 40 บาท

     ทั้งนี้สำหรับสิ่งสังคมที่ได้จากเหตุเพลิงไหมโรงงานหมิงตี้ครั้งนี้ คือการออกเรียกร้องให้มีการทบทวนเรื่อง “โรงงานเก็บสารเคมีอันตรายอยู่ติดชุมชน” ที่รัฐจะต้องตรวจสอบมาตรฐานเข้มข้นมากขึ้น รวมถึงประเมินความเสี่ยงตั้งแต่ผังเมือง ที่ตามมาด้วยคำถามว่า เหตุใดจึงมีโรงงานที่ประกอบกิจการที่เป็นอันตราย เสี่ยงต่อการเหตุร้ายแรงอยู่ท่ามกลางชุมชน กระทั่งพบคำว่า เป็นเพราะเมืองที่เติบโตขึ้นขยายไปเขตอุตสาหกรรม

     กรณีนี้ได้เกิดข้อเสนอในการควบคุมผ่านกฎหมาย และหน่วยงานอย่างอุตสาหกรรมจังหวัด ที่ต้องมาตรวจอย่างต่อเนื่อง ในเรื่องการจัดเก็บ มาตรฐานความปลอดภัย การระงับเหตุ การตัดวงจรที่เหตุจะลุกลามบานปลาย เปิดเผยข้อมูลเหล่านี้ต่อทางราชการ  เพื่อนำไปสู่การระงับเหตุอย่างถูกต้อง

     รวมถึงให้มีการจัดการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดิน ที่จะต้องมีเรื่องผังเมืองเพื่ออยู่อาศัยตามมาด้วย ตามนโยบาย “ผังประเทศไทย พ.ศ. 2600” นอกจากนี้ยังมีการพูดถึงการบังคับใช้กฎหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง