svasdssvasds
เนชั่นทีวี

เศรษฐกิจ

ธปท. ถกคลังคุมเข้ม 'ผู้ค้าทอง' อุดช่องโหว่ผลกระทบเงินบาทแข็งค่า

แบงก์ชาติชี้ค่าเงินบาทแข็งเร็วแรงผิดปกติ จากโฟลว์ขนาดใหญ่ในธุรกิจทองคำ เร่งถกคลังหาช่องกำกับผู้ค้าทองอุดช่องโหว่ผลกระทบเงินบาทแข็งค่า

นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงสถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งค่ารวดเร็วและรุนแรงที่ผ่านมาว่าไม่ใช่ผลจากปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งเพียงอย่างเดียว แต่เป็นผลจากการผสมกันของปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจโลก กระแสเงินทุนเคลื่อนย้าย และโครงสร้างของตลาดการซื้อขายทองคำในประเทศไทยเชื่อมโยงกับตลาดอัตราแลกเปลี่ยนอย่างลึกซึ้งกว่าที่หลายฝ่ายคาดคิด

ทั้งนี้ ธปท.ติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด และตระหนักดีว่าการแข็งค่าเงินบาทลักษณะนี้ สร้างผลกระทบต่อภาคส่งออก ภาคธุรกิจ และเศรษฐกิจโดยรวม จำเป็นต้องเข้าไปจัดการกับ “ต้นตอของไฟลว์” ที่เข้ามามากกว่ามองปลายเหตุที่ตัวค่าเงิน หากดูถึงปัจจัยกระทบต่อค่าเงินบาทได้รับแรงกระแทกหลักจาก 3 ปัจจัยสำคัญ ปัจจัยแรกคือ ปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจโลก (Fundamental) ซึ่งธนาคารกลางแต่ละประเทศแทบไม่สามารถควบคุมได้ ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงมากถึงประมาณ 10% ภายในปีเดียว การอ่อนค่าของดอลลาร์ระดับนี้ ย่อมส่งผลต่อทุกประเทศทั่วโลก รวมถึงไทย

นอกจากนี้ ประเทศไทยยังมีปัจจัยจากบัญชีเดินสะพัด (Current Account) โดยรวมถือว่าเป็นบวกมากกว่าปกติ แม้เริ่มเห็นสัญญาณติดลบบางช่วง แต่ในภาพรวมไทยยังไม่ได้อยู่ในสถานะขาดดุลเรื้อรังเหมือนบางประเทศทำให้เงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าเมื่อดอลลาร์อ่อน 
 

ทั้งยังพบว่า กระแสเงินทุนเคลื่อนย้าย (Flow) โดยเฉพาะเงินทุนที่เข้ามาลงทุนในตลาดการเงิน รวมถึงตลาดตราสารหนี้ และเป็นเงินจากนักลงทุนสถาบันเป็นหลักเงินลักษณะนี้ไม่ได้เป็นเงินร้อนที่เข้าออกเร็วเหมือนในอดีต แต่แม้เป็นเงินระยะยาว การไหลเข้าของเงินจำนวนมากในช่วงเวลาสั้นๆ ยังสร้างแรงกดดันต่อค่าเงินบาทอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ปัจจัยที่สร้างแรงกระแทกต่อค่าเงินบาทอย่างรุนแรงที่สุดในรอบนี้ คือ ธุรกิจการซื้อขายทองคำ โดยเฉพาะการซื้อขายทองคำในรูปแบบที่ไม่ใช่ทองคำจริง ปัญหาที่เกิดขึ้น ไม่ได้มาจากการซื้อขายทองคำแท่งหรือทองรูปพรรณแต่เกิดจากการซื้อขายทองคำในรูปแบบ “Paper” ซึ่งเป็นการซื้อขายผ่านแอปพลิเคชันหรือระบบออนไลน์ ตลาดทองคำลักษณะนี้มีขนาดใหญ่มาก แม้ไม่มีใครสามารถระบุขนาดที่แท้จริงได้อย่างชัดเจน แต่ประเมินว่า มูลค่าซื้อขายทองคำผ่านแอปพลิเคชันทั้งหมด อาจมีขนาดสูงถึง 40-50% ของ GDP สะท้อนถึงการเติบโตที่รวดเร็วและขนาดที่ใหญ่ผิดปกติ
 

ทั้งนี้ปัจจุบันมีผู้ค้าทองคำรายใหญ่ประมาณ 15 ราย จำนวนนี้มีผู้ค้าหลักที่มีบทบาทสำคัญทำธุรกรรมอัตราแลกเปลี่ยนเพียง 3-4 รายเท่านั้น ทำให้ความเสี่ยงกระจุกตัวสูงมาก และวันที่ค่าเงินบาทแข็งค่ารุนแรง ปริมาณซื้อขาย FX จากร้านทองสามารถพุ่งขึ้นไปถึงเกือบ 20% ของปริมาณการซื้อขายทั้งตลาด เป็นระดับที่สร้างแรงกระแทกต่อค่าเงินชัดเจน ที่สำคัญที่สุด เมื่อพิจารณาเฉพาะฝั่งการขายดอลลาร์ ซึ่งเป็นฝั่งที่ทำให้เงินบาทแข็งค่า พบว่าร้านทองรายใหญ่กลุ่มนี้ มีส่วนแบ่งการขายดอลลาร์สูงถึงประมาณ 70% ของตลาดทั้งหมด ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนชัดเจนว่า ค่าเงินบาทแข็งค่าไม่ได้เกิดจากตลาดโดยรวม แต่เกิดจากโฟลว์ขนาดใหญ่ที่มาจากธุรกิจทองคำเป็นหลัก ที่สำคัญคือ ธุรกิจทองคำในลักษณะนี้ แทบไม่มีหน่วยงานใดเข้ามากำกับดูแลโดยตรง ทั้งที่มีผลกระทบต่อระบบการเงินและค่าเงินในวงกว้าง

“ผลกระทบที่เข้ามาในเงินบาท จากร้านทอง เมื่อเกิดการทำ Hedging และขายดอลลาร์และซื้อเงินบาท ในตลาดอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งธุรกรรมนี้เองที่กลายเป็นปัจจัยผลักดันให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว”

นายวิทัย กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาธปท.ดำเนินการเต็มที่ ทั้งเข้าไปดูแลอัตราแลกเปลี่ยนทุกวัน หารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการเต็มที่ภายใต้กรอบกฎหมายที่มีอยู่ ขยายการใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติเงินตราต่างประเทศ มาตรการเร่งด่วนที่ ธปท. ดำเนินการ ได้แก่ การสั่งให้ตรวจสอบเอกสารธุรกรรมขาย FX ที่เกี่ยวข้องกับทองคำทุกกรณีทันที เพื่อให้เห็นที่มาที่ไปของโฟลว์อย่างชัดเจน

ธปท. ยังขอให้กระทรวงการคลังแก้ประกาศกระทรวง เปิดทางให้ ธปท. มีอำนาจเรียกดูข้อมูลและกำกับดูแลในบางส่วนที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมเงินตราต่างประเทศมากขึ้น อีกมาตรการหนึ่งคือ การเริ่มกำกับดูแลการนำเงินดอลลาร์เข้าประเทศ โดยกำหนดให้ต้องมีการแจ้งเอกสารและระบุที่มาของเงินอย่างชัดเจน แม้การนำเงินเข้าจะเป็นเสรีมานานหลายสิบปี

“มาตรการเหล่านี้ จะไม่ใช่มาตรการรุนแรง ไม่มีการเก็บภาษี ไม่มีการปิดกั้นเงินทุนเหมือนอดีต เช่น มาตรการปี 2010 เพราะเข้าใจดีว่าหากทำจะมีผลกระทบรุนแรง และธปท.ก็มีบทเรียนและความเจ็บปวดจาการทำมาตรการนี้แล้ว”

ไม่เพียงเท่านั้น เนื่องจากปัญหามีความซับซ้อน ธปท. จึงต้องประสานงานกับหลายหน่วยงาน ทั้งกระทรวงการคลัง เพื่อหาหน่วยงานที่เหมาะสมในการกำกับดูแลธุรกิจทองคำโดยตรง ขณะเดียวกัน ธปท. ยังหารือกับหน่วยงานผู้ออกตราสารหนี้รายใหญ่ ขอให้ชะลอออกตราสารหนี้ช่วงที่ค่าเงินบาทแข็งค่า เพื่อลดแรงดึงดูดเงินทุนจากต่างประเทศ รวมถึงยังมีการประสานงานกับ ก.ล.ต. และ ปปง. โดยเฉพาะในประเด็นการติดตามแหล่งที่มาของเงินคริปโต ซึ่งเชื่อมโยงกับกฎหมาย Travel Rule ที่จะช่วยให้หน่วยงานรัฐตรวจสอบที่มาของเงินได้

นอกจากนี้ย้ำกว่า กรณีที่มีการตั้งประเด็นว่า การเทรด USDT เป็นสาเหตุหลักทำให้เงินบาทแข็งค่า ตัวเลขที่อ้างว่ามีการเทรด USD ที่เกี่ยวข้องกับ USDT สูงถึงเดือนละ 100,000 ล้านบาทนั้นไม่เป็นความจริง ตัวเลขจริงอยู่ที่ประมาณ 30,000 ล้านบาทต่อเดือน ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าที่ถูกกล่าวอ้างอย่างมากที่สำคัญ หากเป็นการซื้อขาย USDT อย่างถูกกฎหมาย จะไม่มีธุรกรรมซื้อขายดอลลาร์/บาท อยู่เบื้องหลัง จึงไม่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อค่าเงินบาท

ปัญหาที่ ธปท. ให้ความสำคัญ คือ เรื่องแหล่งที่มาของเงินทุน หากมีการซื้อขาย USDT ปริมาณมาก อาจสะท้อนถึงเงินทุนจากต่างประเทศที่ต้องการแปลงเป็นเงินบาท ซึ่งจำเป็นต้องตรวจสอบว่าเป็นเงินเทาหรือไม่ มีกฎหมาย Travel Rule จะช่วยให้หน่วยงานกำกับดูแลสามารถติดตามเส้นทางเงินคริปโตได้ชัดเจน และมองเห็นภาพรวมของระบบได้ดีขึ้น