svasdssvasds
เนชั่นทีวี

เทคโนโลยี

'ในวันที่ iPhone ใช้ USB-C' ชวนเข้าใจเรื่องสาย USB และวิธีเลือกใช้

iPhone 15 เปลี่ยนมาใช้ USB-C เปิดทางให้เราสามารถใช้สายเชื่อมต่อจากผู้ผลิตเจ้าอื่นๆ โดยสาย USB ตามท้องตลาด มีราคาตั้งแต่หลักสิบจนไปถึงหลักพันบาท เราชวนมาทำความเข้าใจเรื่องของมาตรฐาน USB แต่ละแบบ (ที่แม้แต่คนออกมาตรฐานเองก็ยังปวดหัวได้) และวิธีเลือกใช้

ในสมาร์ทโฟนซีรีส์ iPhone 15 รุ่นล่าสุด Apple ได้เปลี่ยนการเชื่อมต่อมาเป็นหัวแบบ USB-C อย่างเป็นทางการ โดยสายที่มาในกล่องจะสามารถใช้ได้กับมือถือทุกรุ่นในซีรีส์ แต่ถ้าอยากใช้งานได้เต็มความเร็วของ iPhone 15 Pro และ Pro Max ทาง Apple ก็เปิดขายสายยาว 1 เมตร สำหรับการเชื่อมต่อที่ว่านี้ในราคา 2,490 บาท!

การเปลี่ยนแปลงของ iPhone ในปี 2023 จึงเปิดทางให้เราสามารถใช้สายเชื่อมต่อจากผู้ผลิตเจ้าอื่นๆ (3rd party) โดยถ้าสำรวจสาย USB ตามท้องตลาด เราจะพบกับสายราคาตั้งแต่หลักสิบจนไปถึงหลักพันบาท สร้างความสับสนให้คนซื้อไม่ใช่น้อย วันนี้เรามาทำความเข้าใจเรื่องของมาตรฐาน USB (ที่แม้แต่คนออกมาตรฐานเองก็ยังปวดหัวได้) ว่ามีแบบใดบ้าง จะเลือกใช้อย่างไรให้เหมาะสมกับการใช้งานและเงินในกระเป๋า
 

บทความที่เกี่ยวข้อง

จีนเตือนไม่ควรใช้สายชาร์จแอนดรอยด์ ร่วมกับ iPhone 15

iPhone 15 เปลี่ยนมาใช้หัวชาร์จแบบ USB-C ตามกฎ EU เพื่อลดขยะอิเล็กทรอนิกส์

ผู้เชี่ยวชาญกังวล iPhone 15 อาจไม่รักษ์โลกอย่างที่คิด! 

ทำไม Apple ถึงเปลี่ยนมาใช้ USB-C บน iPhone
ประเด็นนี้น่าสนใจมากๆ เพราะทาง Apple เองยังไม่ได้ออกมาประกาศว่า ทำไมถึงจำเป็นต้องเปลี่ยนช่องเชื่อมต่อจาก Lightning มาเป็น USB-C แต่สิ่งที่เห็นกันมาตั้งแต่ช่วงปี 2005 คือ Apple เริ่มเปลี่ยนให้ MacBook ทั้งหมดใช้ USB-C เป็นหลัก และในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา iPad ก็เข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่านไม่ต่างกัน และมาถึงท้ายสุดของผลิตภัณฑ์ของ Apple นั่นคือ iPhone

ส่วนหนึ่งที่ผู้เชี่ยวชาญคาดกันว่าเป็นเหตุที่ทำให้ Apple ชะลอการเปลี่ยนจาก Lightning ไปเป็น USB-C คือ Made for iPhone Program (MFi) ที่ Apple มีการเก็บค่าสิขสิทธิ์สำหรับการทำอุปกรณ์เสริมของ iPhone โดยเฉพาะอุปกรณ์ต่างๆ ที่ทำงานผ่านการเชื่อมต่อผ่าน Lightning และ MagSafe ดังนั้น การเปลี่ยนการเชื่อมต่อมาเป็น USB-C ที่เป็นมาตรฐานหลักอาจทำให้ Apple สูญเสียรายได้ในการเก็บค่าสิขสิทธิ์ในส่วนนี้ไป

แต่แรงกระเพื่อมที่สำคัญน่าจะเป็นการที่ EU ผ่านกฎหมายให้โทรศัพท์ แท็บเล็ต และกล้องที่ขายภายในสหภาพยุโรป (EU) จำเป็นต้องใช้การเชื่อมต่อผ่าน USB-C ภายในสิ้นปี 2024 โดยมีเหตุผลในเรื่องของสิ่งแวดล้อม การลดขยะไอทีที่เกิดขึ้นหลังจากผู้ใช้เปลี่ยนอุปกรณ์ไปใช้ค่ายอื่นๆ และยังทำให้ผู้ใช้เองลดต้นทุนในการเปลี่ยนอุปกรณ์ในอนาคตด้วยเช่นกัน
 

มาตรฐาน USB ดูแลโดยใคร?
ก่อนไปต่อขอเท้าความสักนิด มาตรฐาน USB ถูกดูแลโดยองค์กรที่ชื่อว่า USB Interpreters Forum (USB-IF) ถูกก่อตั้งขึ้นในปี 1995 หรือ 28 ปีที่แล้ว โดยบริษัทไอทียักษ์ใหญ่เช่น IBM, Intel, HP และ Microsoft ทำหน้าที่ในการจัดการมาตรฐานของ USB ทั้งหมด เพื่อให้ทุกคนเป็นไปตามมาตรฐานการเชื่อมต่อ
 

ก่อนจะเกิด USB-IF ในปี 1996 ก็มีมาตรฐาน USB 0.8, 0.9 และ 0.99 เกิดขึ้นมาก่อนแล้วในช่วงปี 1994-1995 แต่ทั้งหมดนั้นเป็นเพียงมาตรฐานที่ไม่ได้เปิดให้ใช้ทั่วไป จนในปี 1996 จึงเปิด USB 1.0 ออกมาเป็นเวอร์ชันแรกที่ใช้กันในอุปกรณ์ทั่วๆ ไป จนถึงปัจจุบันก็มีการพัฒนาและออกมาตรฐานใหม่มาเรื่อยๆ ล่าสุดในปี 2019 ได้ปล่อยมาตรฐานล่าสุดอย่าง USB4 (USB 4.0) ออกมา นำมาใช้จริงแล้วในอุปกรณ์หลากหลายชนิดเช่น MacBook ที่ใช้ Apple Silicon ทั้งหมด

 

ประเภทหัวเชื่อมต่อ USB
หนึ่งในมาตรฐานที่ USB-IF ควบคุมเกี่ยวกับการใช้ USB คือการออกมาตรฐานของหัวที่ใช้ในการเชื่อมต่อ มีหลักๆ ทั้งหมด 3 ประเภทด้วยกันคือ USB Type-A, USB Type-B และ USB Type-C

USB Type-A USB Type-A เป็นมาตรฐานหัวเชื่อมต่อที่เราใช้งานกันมาตั้งแต่ USB 1.0 มีหน้าตาเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า เชื่อมต่อได้แค่ด้านเดียว เหตุการณ์ที่ทุกคนน่าจะเคยเจอกับตัวมาไม่มากก็น้อยคือเรามักมีปัญหากันเสียบด้านหนึ่งไม่เข้า หมุนกลับไปอีกด้านไม่เข้าอีก หมุนกลับด้านเดิม เข้าซะงั้น ไม่ว่าจะเสียบยากยังไงก็ตามจนถึงตอนนี้ นี่แหละคือ USB Type-A และเรายังใช้กันอยู่

สำหรับหัว USB Type-A มีการเพิ่มมาตรฐานเล็กๆ น้อยๆ คือ ด้วย USB Type-A เราใช้งานกันมานานมาก มีการรองรับมาตรฐานความเร็วที่ไม่เท่ากัน (แต่สามารถเสียบกันได้หมด) ทาง USB-IF จึงกำหนดให้ ถ้าเป็นพอร์ตหรือสาย USB ที่รองรับมาตรฐาน USB 3.0 ให้ทำขั้วเป็นสีฟ้าเพื่อบอกให้ผู้ใช้รับรู้ แต่แน่นอนว่าพอมีสีฟ้า สีอื่นๆ ก็ตามมา เช่น ในผลิตภัณฑ์จากบริษัท Razer ผู้ผลิตอุปกรณ์เกมมิง ก็ทำ USB ออกมาเป็นสีเขียวตามสี ของแบรนด์ และค่ายอื่นๆ ยังทำออกมากันเรื่อย ๆ จนมีหลากสีไปหมด

USB Type-B USB Type-B อาจจะไม่เห็นมากนัก สายมีหน้าตาเป็นรูปทรงคล้ายสี่เหลี่ยมจตุรัส ขนาดด้านกว้างที่เล็กกว่า USB Type-A เล็กน้อย แต่สูงกว่า หัวสายลักษณะนี้ยังคงมีการใช้งานอยู่สำหรับอุปกรณ์บางชนิด เช่น ปรินเตอร์ และสแกนเนอร์

USB Type-C USB Type-C (USB-C) เป็นหัวการเชื่อมต่อตัวล่าสุดที่ USB-IF ประกาศออกมาให้ใช้ เนื่องจาก USB Type-A ที่ใช้กันมานาน มีข้อจำกัดหลายประการทำให้ไม่สามารถทำงานกับอุปกรณ์รุ่นใหม่ๆ และอุปกรณ์ที่จะออกมาในอนาคตได้ USB-C มีการจ่ายไฟที่ทำได้ดีขึ้น สูงถึง 100W (จากเดิม USB Type-A ทำได้เพียง 5W) และ การส่งถ่ายข้อมูลที่มีความเร็วสูงขึ้นถึง 40 Gbps บน USB 4.0 เทียบกับ USB Type-A ที่ทำได้สูงสุดเพียง 5 Gbps บน USB 3.0 แต่อีกความสามารถที่สำคัญสร้างความสะดวกให้กับผู้ใช้คือการรองรับการเสียบแบบหลายทิศทาง ทำให้เราไม่ต้องมาเล็งเสียบอีกต่อไป

Micro USB นอกจาก USB Type-A, USB Type-B และ USB Type-C ยังมีแยกย่อยลงไปอีกคือเหล่า Mini และ Micro เช่น Micro-USB หรือชื่อเต็มคือ USB Micro-A สายที่รองรับอุปกรณ์ที่ขนาดเล็กลงสำหรับใช้งานกับโทรศัพท์และ อุปกรณ์ขนาดเล็ก

 

มาตรฐานความเร็วในการเชื่อมต่อ
อีกส่วนที่สำคัญไม่แพ้กันนอกจากหัวที่ใช้ในการเชื่อมต่อคือมาตรฐานความเร็วในการเชื่อมต่อ เป็นส่วนที่กำหนดว่าอุปกรณ์ที่ใช้ USB จะมีการพูดคุย การส่งข้อมูลกันอย่างไร ถ้าไม่มีมาตรฐานที่ควบคุมจะส่งผลให้ถึงแม้กว่าสายเราจะหน้าตาเหมือนกันทุกประการ แต่จะเสียบเพื่อส่งข้อมูลไม่ได้ เปรียบได้กับภาษาที่อุปกรณ์และเครื่องพูด ถ้าใช้คนละภาษาอุปกรณ์ทั้งสองฝั่งจะคุยไม่รู้เรื่อง ผลที่ผู้ใช้จะเห็นได้ชัดจากการพัฒนามาตรฐานนี้คือ ความเร็วในการเชื่อมต่อที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ

มาตรฐานแรกที่เปิดให้ใช้เป็นสาธารณะคือ USB 1.0 ออกมาในปี 1996 ที่สามารถรองรับความเร็วสูงสุดที่ 12 Mbps ถือว่ามีความเร็วสูงในช่วงเวลานั้น ต่อมาคือ USB 2.0 มาตรฐานที่มีการใช้งานเป็นสัดส่วนที่สูงมากในปัจจุบัน ออกมาในช่วงปี 2000 ให้ความเร็วสูงสุดที่ 480 Mbps และสามารถจ่ายไฟได้ถึง 5V/0.5A หรือ 2.5Wแต่ก็มีสายบางเส้นในท้องตลาดที่สามารถจ่ายไฟได้สูงกว่าด้วยการออกแบบที่นอกเหนือมาตรฐาน เช่น มาตรฐาน fast charge ที่ละค่ายออกมา (และทำมาตรฐานของตัวเองออกมากันไม่น้อย) ซึ่งมาตรฐานนี้ สามารถใช้งานบนหัวสำหรับการเชื่อมต่อได้ทุกมาตรฐาน เช่นโทรศัพท์ที่ใช้ช่องเชื่อมต่อแบบ Micro-USB จะทำงานในมาตรฐาน USB 2.0 แม้กระทั่งหัวที่อยู่นอกมาตรฐานของ USB-IF เช่น Lightning ของ Apple ที่อยู่บนอุปกรณ์อย่าง iPhone หรือ iPad บางรุ่น ก็สามารถรองรับได้เช่นกัน

มาตรฐาน USB 3.0 ออกมาเพื่อตอบสนองความต้องการการเชื่อมต่อที่เร็วขึ้น ซึ่งเป็นกลุ่มมาตรฐานที่มีความซับซ้อนจากมาตรฐานย่อยจำนวนมาก ทั้ง USB 3.2 Gen 1 (USB 3.0) และ USB 3.2 Gen 2 (USB 3.1) จนไปถึงมาตรฐานที่สร้างความงงเข้าไปอีกคือ USB 3.2 Gen 2x2 ที่ทำให้ความเร็วเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าตัว และสร้างความปวดหัวให้กับเราสองเท่าตัวด้วยเช่นกัน โดยตัวหัวที่ใช้ในการเชื่อมต่อจะมีทั้งในรูปแบบของ USB Type-A และ USB Type-C

และในมาตรฐานล่าสุดอย่าง USB 4.0 หรือบางคนเรียก USB4 จะทำให้ถ่ายโอนข้อมูลด้วยความเร็วระดับ 40 Gbps และภายใน USB 4.0 เองออกเวอร์ชันย่อยคือ USB 4.0 V2.0 ในช่วงปี 2022 ทำให้ความเร็วในการเชื่อมต่อสูงขึ้นไปถึงระดับ 80 Gbps ถือว่า เป็นความเร็วในการเชื่อมต่อที่สูงมาก ๆ ในปัจจุบัน แต่เนื่องด้วยความเร็วการเชื่อมต่อที่สูงมาก ๆ ทำให้ ไม่สามารถใช้หัวเชื่อมต่อแบบ USB Type-A และ USB Type-B ได้ ดังนั้น ในการที่จะใช้ USB 4.0 และ USB 4.0 V2.0 ได้ จะต้องทำงานบนหัวเชื่อมต่อแบบ USB Type-C เท่านั้น

 

USB Power Delivery (USB-PD)
นอกจากความสามารถในการเชื่อมต่อข้อมูลได้แล้ว สิ่งที่ต้องคำนึงถึงเวลาจะซื้อคือ สาย USB เองยังสามารถส่งผ่านไฟเลี้ยงไปที่อุปกรณ์ปลายทางได้เช่นกัน เช่นใน USB 2.0 สามารถจ่ายไฟได้ที่ 5V/0.5A หรือ 2.5W ซึ่งไม่เพียงพอกับอุปกรณ์ในปัจจุบัน และมีการใช้การเชื่อมต่อแบบ USB ในการชาร์จไฟเป็นหลัก ทำให้จำเป็นต้องมีมาตรฐานบางอย่างเพื่อให้สามารถจ่ายไฟได้ในกำลังที่สูงขึ้นไป

มาตรฐานนั้นคือ USB Power Delivery (USB-PD) ที่จำเป็นจะต้องใช้บนหัวการเชื่อมต่อแบบ USB Type-C และจำเป็นที่จะต้องใช้กับอุปกรณ์ที่รองรับ USB-PD เท่านั้น โดยจะให้กำลังไฟสูงสุด 48V/5A หรือ 240W ผ่านมาตรฐาน USB-PD 3.1

 

การเลือกซื้อสายให้เหมาะสมกับการใช้งาน
จากมาตรฐานทั้งหมดที่มีจำนวนมาก และมีการไขว้กันไปมาระหว่างเรื่องของมาตรฐานหัวการเชื่อมต่อ ความเร็วในการเชื่อมต่อ และความสามารถในการจ่ายไฟ ทำให้สาย USB ที่เราพบเห็นได้ในท้องตลาดจะมีช่วงราคาที่กว้างมากเช่น สายบางเส้น 1 เมตรอาจจะไม่ถึง 100 บาท แต่บางเส้น 1 เมตร กลับมีราคาถึง 2,490 บาทได้เลย นั่นเป็นเพราะการรองรับมาตรฐานที่แตกต่างกัน สายบางเส้นที่มองจากภายนอกเห็นว่ามีการเชื่อมต่อโดยใช้หัวแบบ USB-C บางเส้น ก็ไม่ได้หมายความว่า จะรองรับมาตรฐาน USB 3.2 Gen 1 ขึ้นไป หรือรองรับการใช้งาน USB-PD สำหรับการจ่ายไฟกำลังสูง

หรือกระทั่งในสายบางเส้น ไม่รองรับการส่งถ่ายข้อมูล (เพราะผู้ผลิตเอาส่วนที่ใช้ส่งถ่ายข้อมูลออกไป) รองรับเพียงแค่การจ่ายไฟเลี้ยงเท่านั้น โดยสายประเภทนี้ มักจะเห็นได้ในกลุ่มสายราคาถูกที่เขียนเน้นว่าเป็นเพียงสายชาร์จ หรือกลุ่มของสายชาร์จที่มักจะแถมมากับอุปกรณ์บางอย่าง ประโยชน์ของสายจำพวกนี้คือ สายสามารถลดโอกาสในการถูกโจรกรรมข้อมูลผ่านช่อง USB ดังที่เคยปรากฏในข่าว

ดังนั้น เวลาเราเลือกซื้อสาย USB เพื่อมาใช้กับอุปกรณ์ของเรา ให้ดูจาก มาตรฐาน USB ที่อุปกรณ์ของเรารองรับ เช่น iPhone 15 Pro และ iPhone 15 Pro Max รองรับเพียงแค่มาตรฐาน USB 3.0 เท่านั้น ส่งผลให้เราไม่จำเป็นจะต้องไปเสียเงินซื้อสายที่รองรับ USB 4.0 หรือ ถ้าเกิดใช้ iPhone 15 และ iPhone 15 Plus ที่รองรับ USB 2.0 เท่านั้น เราไม่จำเป็นต้องไปซื้อสาย USB 3.0 เช่นกัน แต่สำหรับใครมีสาย USB-C อยู่แล้ว ถ้าเป็นสายที่มีมาตรฐาน สามารถนำมาใช้ด้วยกันได้ทั้งหมด เพราะสายทั้งหมดใช้งานมาตรฐานร่วมกัน แต่แนะนำให้ตรวจสอบความน่าเชื่อถือของแบรนด์ที่ซื้อ เนื่องจากมีสาย USB บางเส้นในท้องตลาด เนียนไม่ตรงปก เขียนหน้าซองว่ารองรับมาตรฐานสูงๆ แต่เมื่อเสียบมารองรับเพียงมาตรฐาน USB 2.0 เท่านั้น