
ขอล้างอาย ฮุน มาเนต พ่ายศึกชายแดนปี 54 ฮุน เซน สั่งการบุกไทยปั้นทายาทเป็นฮีโร่ หลังเหตุสู้รบยกแรก ฟ้องยูเอ็นตามสูตร
จอมเจ้าเล่ห์ ฮุน เซน หวังเป็นรัฐบุรุษ ปลุกชาตินิยมทวงคืน 3 ปราสาทและสามเหลี่ยมมรกต ปั้นคำลวงลากไทยสู่ศาลโลก
ในที่สุด สงครามไทย-กัมพูชารอบใหม่ ได้เกิดขึ้นเมื่อเช้าวันที่ 24 ก.ค.2568 ซึ่งมีการปะทะตลอดแนวชายแดน ตั้งแต่บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี
สัญญาณเสียงปืนแตกจากฝั่งกัมพูชา เริ่มจากเพจ Army Media ของหน่วยทหารหน่วยองค์รักษ์ BHQ ได้โพสต์ภาพสมเด็จฮุน เซน พร้อมข้อความที่ว่า ทหารกัมพูชาพร้อมปกป้องอธิปไตย
ขณะที่เพจทีมพีอาร์ของฮุน มานิต ได้โพสต์ภาพตระกูลฮุน ทั้งฮุน เซน ฮุน มาเนต ฮุน มานิต และฮุน มานี นั่งรับประทานอาหารเช้าร่วมกัน
ใกล้เที่ยงวันเดียวกัน ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรี ได้ทำจดหมายรายงานต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ให้รีบดำเนินการแก้ไขสิ่งที่เขาเรียกว่า การรุกรานทางทหารที่วางแผนไว้ล่วงหน้า โดยกองกำลังไทยตามแนวชายแดนกัมพูชา-ไทย
การศึกหนนี้ ไม่ต่างจากปฏิบัติการล้างอายของ ฮุน มาเนต ที่เคยพ่ายศึกปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาควาย และเขาพระวิหาร เมื่อต้นปี 2554
เวลานั้น ฮุน มาเนต ดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการทหารบก และผู้บัญชาการกองพลน้อยที่ 70 ที่มีภารกิจทั้งป้องกันก่อการร้ายและภารกิจชายแดน
มีรายงานว่า ศึกเขาพระวิหารหนนั้น อำนาจการยิงของปืนใหญ่ไทย ส่งผลให้กองพลน้อยที่ 70 ที่ควบคุมและบัญชาการโดย ฮุน มาเนต แทบละลายทั้งกองพล
เหนืออื่นใด ฮุน มาเนต เองก็ได้รับบาดเจ็บด้วย และต้องใช้เวลารักษาตัวระยะหนึ่ง
ว่ากันว่า ยุทธการปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาควาย และเขาพระวิหาร ปี 2568 จึงถูกมองว่าเป็นการกลับมาแก้มือของฮุน มาเนต ในฐานะนายกรัฐมนตรี
มีข้อน่าสังเกตกรณีเพจข่าวของทีมไอโอทหารกัมพูชา ได้แชร์อินโฟกราฟฟิก ที่มีภาพฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรี คู่กับ พล.อ.เตีย เซ็ยฮา รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม พร้อมข้อความปลุกใจนักรบกัมพูชา
การเลือกใช้ภาพ ฮุน มาเนต-เตีย เซ็ยฮา ย่อมสะท้อนว่า ข่าวลือความขัดแย้งของตระกูลฮุน และตระกูลเตียนั้น สร้างความหวั่นไหวในกลุ่มชนชั้นกัมพูชา จึงพยายามดับกระแสข่าวดังกล่าว
ปัจจุบัน โครงสร้างกองทัพกัมพูชา มี พล.อ.เตีย เซ็ยฮา ลูกชายของเตีย บัญ เป็นรัฐมนตรีกลาโหม และมี พล.อ.เมา โซะพัน เป็นผู้บัญชาการทหารบก
สำหรับกองกำลังในแนวหน้าด้าน จ.พระวิหาร และ จ.อุดรมีชัย โดยมี พล.อ.ฮิง บุนเฮียง ผู้บัญชาการหน่วยองค์รักษ์ BHQ (Bodyguard Headquarters) และ พล.อ.สรัย ดึ๊ก รองผู้บัญชาการทหารบก เป็นผู้คุมกำลังทั้งหมด
พล.อ.ฮิง บุนเฮียง และ พล.อ.สรัย ดึ๊ก ล้วนเป็นขุนศึกคู่ใจของสมเด็จฮุน เซน เหมือนยึดอำนาจกลาโหมมาจากทายาทสมเด็จพิชัยเสนาเตีย บัญ
ส่วน พล.ต.เนี๊ยะ วงศ์ ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 42 ภาคทหาร 4 จ.อุดรมีชัย คุมกำลังทางฝั่งปราสาทตาเมือนตาธม
เดิมทีทหารกัมพูชา ในพื้นที่ จ.พระวิหาร และ จ.อุดรมีชัย ส่วนใหญ่เป็นทหารเขมรแดงเก่า เคยผ่านสมรภูมิสงครามมาโชกโชน แต่ศึกพระวิหารเมื่อปี 2554 ทหารเขมรแดงเหล่านี้ สูญเสียกำลังพลหลักจำนวนมาก
ประกอบกับนายพลเขมรแดงอยู่ในวัยอาวุโสที่ไม่สามารถออกรบได้อีก จึงเป็นภารกิจของนายทหารรุ่นใหม่ ที่ส่งตรงมาจากกรุงพนมเปญเป็นผู้คุมกำลังทหารเข้าโจมตีปราสาทตาเมือนธม และปราสาทตาควาย ในเช้าวันที่ 24 ก.ค.2568
ช่วงเดือน มี.ค.2568 สำนักข่าวขแมร์ไทม์ส รายงานว่า ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีของกัมพูชา ได้แบ่งปันรูปภาพที่หายาก ซึ่งถ่ายไว้เมื่อวันที่ 19 ก.พ.2554 ในความพยายามทางการทูตเพื่อคลี่คลายเหตุปะทะด้วยอาวุธระหว่างกัมพูชาและไทย โดย ฮุน มาเนต ในฐานะรองผู้บัญชาการทหารบก ได้นำคณะนายทหารกัมพูชา พบปะกับคณะผู้แทนไทย ภายใต้การนำของแม่ทัพภาคที่ 2
จาก พ.ศ.นั้น ถึง พ.ศ.นี้ ฮุน มาเนต เสนอว่า ข้อพิพาทเรื่องพรมแดนที่เป็นมรดกตกทอดจากอดีต ต้องได้รับการแก้ไขผ่านกรอบทางกฎหมาย และทางเทคนิคโดยอิงตามกฎหมายระหว่างประเทศ และกลไกทวิภาคีที่ตั้งขึ้น
นั่นเป็นท่าทีของฮุน มาเนต เมื่อต้นปีนี้ ที่มองว่า ไทย-กัมพูชา เป็นเพื่อนบ้านกัน ผูกพันกันด้วยภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์
นักวิเคราะห์การเมืองระหว่างประเทศกังขาว่า เหตุใด ฮุน มาเนต จึงเปลี่ยนท่าทีจากแนวทางเจรจาแก้ไขข้อพิพาท เปลี่ยนเป็นการใช้กำลังทหาร เหมือนปี 2551-2554
ทำไมกัมพูชาไม่สรุปบทเรียน สงครามมีแต่ความสูญเสียทั้งสองฝ่าย ไม่เฉพาะทหารเท่านั้น หากแต่รวมถึงพลเรือนของสองชาติด้วย