จากการเคลื่อนไหวดังกล่าว ทำให้เกิดกระแสต่างๆ ตามมาจากสังคม ถึงการกระทำเรื่องนี้ หวังเพียงเพื่อปิดปากประชาชนคนเห็นต่าง ห้ามวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลในทิศทางลบ โดยงัดกฎหมาย พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์, พ.ร.ก.สถานการณ์การบริหารในสถานการณ์ฉุกเฉิน และ พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ เข้าจัดการ
แต่ที่จะเปรียบ และคงไม่ห่างไกลจากสุภาษิตไทยมากนัก กับคำว่า “เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล” เพราะภายหลังเกิดกระแสตีกลับอย่างถาโถม ทั่วทุกสารทิศ และยิ่งเฉพาะมีการพุ่งเป้ามายังพลังประชารัฐ ในฐานะร่มไม้ชายคา นายสนธิญา และมองว่าอยู่เบื้องหลังกับการเคลื่อนไหวครั้งนี้
พลันฟีดแบคที่ปรากฏ บรรดาพลพรรคพลังประชารัฐ ไล่เรียงตั้งแต่ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ และเลขาธิการพลังประชารัฐ รวมถึงนายทะเบียนพรรค อย่าง นายบุญสิงห์ วริทร์รักษ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ต่างออกมาตอบเป็นเสียงเดียวกัน “แค่คนเคยเป็น”
กระทั่งล่าสุด ส.ส.กรุงเทพ และประธานกรรมาธิการการกฎหมายฯ นายสิระ เจนจาคะ เตรียมที่จะปลด นายสนธิญา ออกจากตำแหน่งที่ปรึกษากรรมาธิการ ทั้งยังย้ำว่าไม่เคยรู้จัก และไม่รู้ว่าเข้ามานั่งในตำแหน่งที่ปรึกษาในโควต้าของใคร แต่ไม่ใช่โควต้าของพรรคพลังประชารัฐ
แต่หากยังจำกันได้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา นายสนธิญา เคลื่อนไหวในฐานะนักร้อง คอยยื่นเรื่องร้องเรียนตรวจสอบฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นยื่นยุบเพื่อไทย กรณีแถลงข่าวเกี่ยวกับเรื่องวัคซีน หรือยื่นเอาผิดพรรคน้องใหม่ อย่าง ไทยสร้างไทย ที่รณรงค์แคมเปญให้ประชาชนร่วมลงชื่อ เพื่อฟ้องรัฐบาล
หรือการเดินเรื่องยื่นต่อศาล เพื่อพิจารณาถอนคำสั่งปล่อยตัวชั่วคราว 6 แกนนำราษฎร ซึ่งออกมาเคลื่อนไหวทางการเมือง โดยผิดเงื่อนไขการให้ประกัน ล้วนถูกสื่อโค้ดตำแหน่งว่า “สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ” พฤติกรรมของนายสนธิญา จึงเปรียบได้ดั่งองครักษ์พิทักษ์รัฐบาลและพลังประชารัฐ แม้จะไม่ได้เป็นผู้แทนราษฎรในสภาฯก็ตาม
ทว่า จากภาพที่ปรากฏ สะท้อนถึงช่วงขาลงของรัฐบาลอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะเมื่อความวัว อย่าง การแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับสถานการณ์โควิด-19 ยังไม่ทันจางหาย ความควาย ก็เข้ามาแทรก จากประเด็นการยื่นร้อง 20 ดารา call out ซึ่งหมายถึงคะแนนนิยม ที่จะตามมาในอนาคต หากเกิดพลิกผันทางการเมือง
ดังนั้น หากเปรียบเทียบรัฐบาลกำลังป่วยและต้องการรักษา เมื่อนิ้วไหนร้าย ก็ตัดนิ้วนั้นทิ้ง เพื่อรักษาส่วนที่เหลือให้มีชีวิตรอดต่อไป โดยเฉพาะในทางการเมือง จึงคงไม่แปลกนัก
เล็งตั้งพรรคการเมืองตัวเอง
ขณะเดียวกัน นายสนธิญา ยังได้เปิดใจกับ “ข่าวข้นคนข่าว” ว่า ส่วนตัวไม่ขอตอบโต้พรรค และการให้สัมภาษณ์ของเลขาธิการฯ ร.อ.ธรรมนัส ถือว่าถูกต้อง และไม่ได้ติดใจอะไร แต่ยืนยันว่าไม่เคยเคลื่อนไหวโดยอ้างชื่อพรรคการเมืองหนึ่ง หรือพรรคการเมืองใด แต่มีบ้างบางกรณีที่ใช้ตำแหน่งที่ปรึกษากรรมาธิการ (หมายถึงกรรมาธิการการกฎหมายฯ ที่มี นายสิระ เป็นประธาน)
“ผมถามว่า ถ้าอ้างพรรคแล้วจะได้ประโยชน์อะไร แล้วช่วงนี้ก็ไม่ใช่การเลือกตั้ง และการเคลื่อนไหวที่ผ่านมา ไม่เคยบอกว่าอยู่พรรคการเมืองไหน และผมเคลื่อนไหวลักษณะนี้มาตั้งแต่ปี 2549 ”
ส่วนกรณีจะปลดออกจากตำแหน่งที่ปรึกษา กรรมาธิการ ก็ไมติดใจหรือสนใจ นายสิระ เพราะรู้อยู่แก่ใจ ดังนั้น ผู้ใหญ่จะตัดสินตนอย่างไร ก็ขอตัดสินใจตามความต้องการ ยินดียอมรับโดยดุษฎีทุกรณี และส่วนตัวมีแนวคติดตั้งพรรคการเมืองเอง ชื่อ “กล้าคิดกล้าทำ” แต่ก็มีหลายคน และหลายพรรคการเมือง ชวนเข้าร่วม แต่ยังไม่ติดสินใจใดๆ
ผมไม่ได้เป็นลูกหนี้
สำหรับกรณีมีการโพสต์แสดงความเห็นเกี่ยวกับการเคลื่อนไหว เพราะบริษัทตนถูกฟ้องล้มละลายนั้น ยืนยันว่าบริษัทตนเป็นเจ้าหนี้ ไม่ใช่ลูกหนี้ และได้ยื่นเรื่องต่อศาลล้มละลายกลาง โดยจะพิจารณาในวันที่ 21 ส.ค.นี้ และเรื่องดังกล่าวอยู่ระหว่างพิทักษ์ทรัพย์ ซึ่งตนฟ้องไป 4.2 ล้านบาท โดยเรื่องนี้เกิดมาตั้งแต่ปี 2557
นายสนธิญา ย้ำว่า การแชร์ หรือแสดงความเห็นไม่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องนี้ ส่วนตัวอยากให้ลบ ไม่อยากดำเนินการฟ้องร้อง เพราะถือว่ามีความผิด ตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มาตรา 15 ส่วนผู้คอมเมนท์ มีความผิดตามมาตรา 14 (3) และ (4) ส่วนกรณีผู้โพสต์มีความผิดตามกฎหมายอาญา มาตรา 328
ประวัติ นายสนธิญา สวัสดี