svasdssvasds
เนชั่นทีวี

ไลฟ์สไตล์

‘มนต์รักนักพากย์’ หนังที่มีหัวจิตหัวใจ

20 ตุลาคม 2566
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

'มนต์รักนักพากย์' เป็นเป็นเสมือนจดหมายรักที่ อุ๋ย—นนทรีย์ นิมิบุตร (ผู้กำกับ 2499 อันธพาลครองเมือง) มีต่อวงการหนังไทยในยุคสมัยแห่งการเปลี่ยนผ่านจากหนังพากย์มาสู่หนังเสียง ซึ่งก็อาจจะเทียบเคียงได้กับยุคสมัยนี้ เมื่อการดูหนังในโรงภาพยนตร์ถูกรุกคืบด้วยสตรีมมิ่ง

หนึ่งในความมหัศจรรย์ของภาพยนตร์คือ หลายครั้งที่เราไม่อาจบรรยายได้แน่ชัดนักว่าเหตุผลอะไรที่ทำให้หนังสักเรื่องหนึ่งเข้าไปนั่งในหัวจิตหัวใจของเรา อาจจะงานกำกับ การแสดง การเขียนบทรวมทั้งโปรดักชั่น แต่พ้นไปจากนั้น มันยังมีสิ่งซึ่งมองไม่เห็นแต่สัมผัสได้—ซึ่งก็ไม่ใช่หนังที่มีคุณสมบัติที่กล่าวมาในมิติข้างต้นครบถ้วนจะไปถึงได้ทุกเรื่อง—ผู้เขียนขอเรียกสิ่งนั้นว่าคือ 'ความมีหัวใจ' อันเป็นสิ่งซึ่ง 'มนต์รักนักพากย์' (2566) มีอยู่เต็มเปี่ยม และแข็งแรงกว่านั้น ในแง่องค์ประกอบของศาสตร์ความเป็นภาพยนตร์ มันก็ทำได้ครบทุกข้อ นับตั้งแต่การกำกับอันละเอียดอ่อน การแสดงที่แสนจะหมดจดและหวังใจอย่างยิ่งว่าจะส่งเหล่านักแสดงนำเข้าชิงในเวทีรางวัลใหญ่ๆ ได้ ตลอดจนงานออกแบบงานสร้างที่พาผู้ชมย้อนกลับไปยังปี 2513 ได้อย่างชวนเชื่อเป็นที่สุด

มนต์รักนักพากย์

มนต์รักนักพากย์เป็นหนังลำดับล่าสุดของ อุ๋ย—นนทรีย์ นิมิบุตร สำหรับคนดูหนังชาวไทย ชื่อนี้ไม่ห่างหายไปจากความคุ้นเคยนัก แง่ที่ว่าเขาคือคนทำหนังหนุ่มที่ข้ามสายมาจากงานโฆษณาและแจ้งเกิดจาก '2499 อันธพาลครองเมือง' (2540) ทั้งยังสานต่อความสำเร็จระดับปรากฏการณ์ด้วย 'นางนาก' (2542) ที่ทำรายได้ทะลุ 100 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นเม็ดเงินจำนวนมหาศาลในเวลานั้น และกล่าวสำหรับมนต์รักนักพากย์ก็น่าจะเป็นเสมือนจดหมายรักที่นนทรีย์มีต่อวงการหนังไทยในยุคสมัยแห่งการเปลี่ยนผ่านจากหนังพากย์มาสู่หนังเสียง ซึ่งก็อาจจะเทียบเคียงได้กับยุคสมัยนี้ เมื่อการดูหนังในโรงภาพยนตร์ถูกรุกคืบด้วยสตรีมมิ่ง

ตัวหนังว่าด้วยเรื่องของคณะนักพากย์หนังขายยา ซึ่งหมายถึงกลุ่มคนที่นำหนังออกไปฉายตามพื้นที่ต่างจังหวัดโดยพ่วงการขายยารักษาโรคต่างๆ ระหว่างฉายด้วย หนังที่คณะหนังขายยานำมาฉายนั้นเป็นฟิล์มที่เคยฉายให้คนในตัวเมือง (หรือคือพระนคร) ดูแล้วจนพรุนในโรงภาพยนตร์ ก่อนที่ฟิล์มจะถูกส่งต่อเวียนว่ายไปฉายยังโรงอื่นๆ และกว่าจะมาถึงมือคณะหนังขายยานั้น สภาพฟิล์มก็เก่า กรอบ และยับเยินจนต้องหาทางเยียวยากันหน้างานอยู่บ่อยครั้ง มานิตย์ (ศุกลวัฒน์ คณารศ) เป็นหัวหน้าคณะนักพากย์หนังขายยา เขาเคยได้ชื่อว่าเป็นจอมยุทธ์นักพากย์ห้าเสียง หรือก็คือพากย์ตัวละครทุกตัว—รวมทั้งผู้หญิง—อยู่คนเดียว และเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลงระลอกแรกเมื่อเขาพบว่าคนดูไม่พึงใจจะฟังเสียงพากย์ตัวละครหญิงที่ "ฟังแล้วยังกะหมาเยี่ยวรด" ท่ามกลางสายตากังวลใจของ เก่า (จิรายุ ละอองมณี) เด็กหนุ่มที่ทำหน้าที่คุมเครื่องฉายหนัง และ ลุงหมาน (สามารถ พยัคฆ์อรุณ) พลขับอาวุโสที่เป็นเสมือนผู้หลักผู้ใหญ่ของกลุ่ม หากแต่ตัวหนังก็ไม่ปล่อยให้คนดูจมอยู่กับความท้าทายนี้นานเกินไปนัก เมื่อเวลาต่อมา มานิตย์ก็ได้เจอกับ เรืองแข (หนึ่งธิดา โสภณ) นักพากย์หญิงผู้มีฝันใหญ่อยากเป็นเสมียนทำงานในบริษัท ที่แม้ว่าการรับเธอเข้ามาจะผิดกฎบริษัทและอาจยังผลให้มานิตย์ต้องตกงาน แต่เรืองแขก็พิสูจน์แล้วว่าการมีอยู่ของเธอทำให้คณะหนังขายยาของมานิตย์มีคนเข้ามาดูเป็นจำนวนมากขึ้น

มนต์รักนักพากย์

ตัวละครสำคัญที่แม้ปรากฏในเรื่องไม่นานนัก หากแต่อยู่ในทุกอณูของตัวหนังคือ มิตร ชัยบัญชา พระเอกแห่งยุคที่เป็นหัวใจสำคัญของหนังทุกเรื่องในประเทศไทยขณะนั้น ถือเป็นข้อบังคับของคณะหนังขายยาทุกหน่วยให้ต้องมีหนังซึ่ง มิตร ชัยบัญชา แสดงนำ ไม่ว่าจะเป็นหนังรักทั่วไป ไปจนถึงหนังแอ็กชั่นราคาสูงและเป็นที่นิยมขึ้นมาอีกหน่อย ทั้งตัวละคร มิตร ชัยบัญชา ก็ยังปรากฏตัวอยู่ในความชื่นชมอย่างสุดหัวใจของมานิตย์ ผู้พากย์เสียงเป็นเขาในหนังทุกเรื่อง อยู่ในภาพนิ่งที่ไอ้เก่า เด็กหนุ่มช่างฝันแปะไว้ข้างรถ และอยู่ในสำเนียงขลุ่ยของลุงหมานที่ครวญดนตรีประกอบหนังที่มิตรนำแสดง มิตร ชัยบัญชา จึงเป็นเสมือนจิตวิญญาณและลมหายใจของคณะรถขายยา หนังเล่าถึงช่วงเวลาสั้นๆ ที่มานิตย์และคณะได้พบกับมิตรในกองถ่ายแห่งหนึ่ง และอาจจะกล่าวได้ว่าเป็นฉากที่นนทรีย์ถ่ายทอดออกมาได้หมดจด มีหัวจิตหัวใจมากที่สุดฉากหนึ่งคือเมื่อมิตรเอ่ยขอบคุณมานิตย์ว่า "ผมดูดีได้ก็เพราะคุณ" อันเป็นการฉายให้เห็นภาพความสัมพันธ์ของนักแสดงและนักพากย์ได้อย่างชัดเจนที่สุด หรือกล่าวได้อีกอย่างหนึ่งคือทั้งสองฝ่ายต่างจำเป็นต้องมีกันและกัน —ก่อนหน้าที่ยุคสมัยของหนังเสียงจะมาถึง

มนต์รักนักพากย์

อันที่จริง จะว่าไปแล้วหลายต่อหลายฉากในมนต์รักนักพากย์ก็เล่าได้ซื่อตรงจนเกือบจะเชยด้วยซ้ำไป ไม่ว่าจะฉากที่ตัวละครทุลักทุเลแบกเอาอุปกรณ์ฉายหนังขึ้นเขาเพื่อไปฉายให้คู่บ่าวสาวชาวดอยดู และพบว่าทุกคนบนดอย—ซึ่งไม่ได้มีโอกาสดูหนังบ่อยๆ นัก—พากันต้องมนตร์ของภาพยนตร์และเรื่องราวที่ มิตร ชัยบัญชา เป็นผู้ถ่ายทอดบนผืนหนัง แม้แต่ฟ้าฝนก็ไม่อาจดึงรั้งพวกเขาให้ละสายตาจากจอได้ ด้านหนึ่ง คณะหนังขายยาจึงเป็นเสมือนมือไม้ที่คอยเอาหนังจากในตัวเมืองไปฉายยังพื้นที่ไกลปืนเที่ยงอย่างที่หน่วยอื่นๆ ของระบบภาพยนตร์ทำไม่ได้ หรือจะเป็นฉากที่หัวหน้ามานิตย์พบ มิตร ชัยบัญชา ซึ่งหนังก็ไม่ได้อธิบายชัดเจนนักว่าพวกเขาไปพบกันได้อย่างไร แต่การมีฉากเหล่านี้ปรากฏอยู่ก็ทำให้หนังขับเน้นสารที่จะสื่อได้ชัดเจนและมีหัวใจ กล่าวคือมนต์รักนักพากย์ไม่ได้อยากเล่นท่ายากอะไร มันเพียงแต่เล่าอย่างตรงไปตรงมา รู้ว่าตัวเองกำลังจะเล่าอะไร และเล่าสิ่งเหล่านั้นออกมาได้แสนละเมียดที่สุด

มนต์รักนักพากย์

ความเรียบง่ายของหนังยังปรากฏอยู่ในเส้นเรื่องที่หนังสำรวจความสัมพันธ์ของตัวละคร โดยเฉพาะเมื่อการมาถึงของเรืองแขที่ทำให้หนุ่มๆ กระสับกระส่าย ทั้งมานิตย์ที่ออกจะเห็นใจชะตากรรมของหญิงสาวผู้ผ่านปัญหาความรักหนักหนามา หรือไอ้เก่าที่แม้จะเหล่สาวอื่นไปทั่วพระนคร แต่ก็มีเพียงเรืองแขคนเดียวที่เขามองด้วยสายตาละห้อย จะมีก็เพียงลุงหมานที่จับสังเกตความเคลื่อนไหวเหล่านี้ด้วยสายตาเป็นกังวลอย่างคนเจนโลก และเป็นดังที่คิดเมื่อความสัมพันธ์ดังกล่าวนำมาซึ่งความแตกหักของคณะหนังขายยา ที่เอาเข้าจริงหนังก็เล่าถึงมิตรภาพและความสัมพันธ์ของผู้คนเหล่านี้อย่างง่ายๆ อีกหนด้วยเส้นเรื่องของเก่าและมานิตย์ ที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขบนเส้นทางของการหอบเอาหนังไปฉายตามพื้นที่ต่างๆ หากแต่ในความเรียบง่ายเหล่านี้ มันก็ยังเรียกร้องการกำกับที่แม่นยำซึ่งนนทรีย์ทำได้โดยไม่มีที่ติ จนหลายคนอด 'เป่าปี่' ให้กับความสัมพันธ์ของพวกเขาไม่ได้

มนต์รักนักพากย์

อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นเสมือนจุดแข็งของหนังคือการแสดงของนักแสดงนำทั้งสี่ เป็นอีกครั้งที่ เวียร์—ศุกลวัฒน์ พิสูจน์ว่าเขาคือนักแสดงอาชีพโดยแท้ เพราะการรับบทเป็นนักพากย์นั้นย่อมหมายความว่าเจ้าตัวต้องไป 'ทำงาน' กับการใช้เสียง ซึ่งโดยพื้นฐานก็ต่างจากการเป็นนักแสดงอยู่แล้ว และเจ้าตัวก็สวมบทบาทเป็นหัวหน้ามานิตย์ได้หมดจด ทั้งในแง่การเป็นนักพากย์ชำนาญการ บุคลิกการเป็นผู้นำที่แสนสุภาพ, หนูนา—หนึ่งธิดา ที่ก่อนหน้านี้ผ่านงานพากย์เสียงให้แอนิเมชั่นมาแล้วหลายเรื่อง กระนั้นการถ่ายทอดภาพของหญิงสาวหัวก้าวหน้าผู้ฝันใหญ่ก็ยังเป็นสิ่งที่ท้าทายและเธอทำมันออกมาได้หมดจด, เก้า—จิรายุกับบทไอ้หนุ่มใจร้อนและเป็นเสมือนน้องชายของมานิตย์อยู่เนืองๆ แววตาใสซื่อกึ่งเปิ่นเป๋อและตรงไปตรงมา เฝ้ามองดู มิตร ชัยบัญชา ผู้เป็นเสมือนไอดอลของเขาเงียบงันด้วยแววตาเป็นประกาย และปิดท้ายด้วยนักแสดงที่ผู้เขียนเห็นว่าเป็น MVP ของหนังคือ สามารถ พยัคฆ์อรุณ ในบทพลขับซึ่งเป็นเสมือนฉากหลังของเรื่อง การประคองตัวเองให้ไม่จมหาย เท่ากันกับที่ไม่โดดเด่นออกมาเหนือนักแสดงอื่นๆ ย่อมไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ง่ายๆ หากแต่เขาทำให้ลุงหมานกลายเป็นตัวละครที่จับต้องได้ ลุงหมานไม่ได้อยู่ในสมการความสัมพันธ์รักสามเส้าของคนหนุ่มสาว แต่เป็นคนที่คอยประคับประคองและอยู่เป็นฉากหลังให้ทุกคนเสมอ

มนต์รักนักพากย์

ทั้งนี้ หนังพูดถึงการเปลี่ยนแปลงเป็นหัวใจสำคัญ เมื่อทั้งเรื่องล้วนเล่าถึงช่วงเวลาแห่งการผันเปลี่ยนสำคัญของวงการหนังไทยปี 2513 เมื่อหนังขายยาเริ่มถูกลดบทบาทลง คนอย่างมานิตย์ อย่างเรืองแขกำลังจะถูกเบียดขับให้หลุดออกจากวงโคจรการฉายหนัง, การจากไปอย่างกระทันหันของ มิตร ชัยบัญชา ที่เปลี่ยนโฉมหน้าวงการหนังไทยไปตลอดกาล ตลอดจนการมาถึงของคอมมิวนิสต์และสงครามเย็นที่ห่มคลุมบรรยากาศของทั้งเมืองไว้ ที่น่าสนใจคือหนังพูดถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างมีความหวัง เพราะแม้เมื่อพ้นยุคสมัยของหนังเงียบ การล่มสลายของคณะหนังขายยา และการจากไปของ มิตร ชัยบัญชา วงการหนังไทยก็ก้าวเข้าสู่อีกยุคหนังเสียงและยุคของ ดอกดิน กัญญามาลย์ ผู้กำกับหนังชั้นครูของไทย

กล่าวสำหรับผู้เขียนเอง ในห้วงยามที่โลกกำลังเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ท้าทายเราแทบจะทุกลมหายใจ ทั้งการตายจากและเกิดใหม่ของแพลตฟอร์มต่างๆ ที่เรียกร้องให้เราต้องปรับตัวรายวัน โลกที่เรียกร้องให้เราต้องหาทางเพิ่มทักษะความสามารถเพื่ออยู่ต่อให้ได้ การที่ตัวหนังมนต์รักนักพากย์มองอนาคตและการเปลี่ยนแปลงในแง่ดีเช่นนี้ก็ถือเป็นเสมือนการตบบ่า กอดคอให้กำลังใจคนดูอยู่เนืองๆ

ที่สำคัญที่สุดคือมันเป็นหนึ่งในหนังที่บอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ได้หมดจดและมีหัวใจ อันเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ว่าหนังทุกเรื่องจะมอบให้ได้ หากแต่ นนทรีย์ นิมิบุตร พิสูจน์อีกครั้งว่าเขารักวงการหนัง และความรักนั้นก็สะท้อนผ่านอยู่ในมนต์รักนักพากย์เรื่องนี้

มนต์รักนักพากย์
 

logoline