
ภาพยนตร์ของ เวส แอนเดอร์สัน (Wes Anderson) มักขึ้นชื่องานเรื่องงานภาพที่ตระการตาและมีเอกลักษณ์เป็นเฉพาะ บ้างก็ว่าผลงานของเขาเหมาะสมสำหรับการดูในโรงภาพยนตร์อย่างยิ่ง (หรือบางคนอาจใช้คำว่า ‘เท่านั้น’) หากแต่ตอนนี้หนังสั้น 4 เรื่องของเขา The Wonderful Story of Henry Sugar, The Swan, The Rat Catcher และ Poison สามารถหาชมได้อย่างสะดวกสบายทางสตรีมมิงชื่อดังอย่างเน็ตฟลิกซ์
อาจมองอย่างเผินๆ ว่านี่เป็นเรื่องสมัยนิยมที่บริการสตรีมมิงหลายเจ้ามีบทบาทในการเป็นนายทุนร่วมสร้างภาพยนตร์ (เช่น Killers of the Flower Moon หนังใหม่ของมาร์ติน สกอร์เซซี และ Napoleon โดยริดลีย์ สก็อตต์ ล้วนเป็นหนังได้เงินทุนจาก Apple Studios หลังจากฉายโรงแล้ว มันก็มีกำหนดฉายทาง Apple TV+) หากแต่กรณีของ The Wonderful Story of Henry Sugar มีเรื่องราวมากกว่านั้น
จุดเริ่มต้นเกิดขึ้นในปี 2021 เมื่อเน็ตฟลิกซ์เข้าซื้อกิจการ Roald Dahl Story Company บริษัทที่ดูแลลิขสิทธิ์ผลงานของ โรอาลด์ ดาห์ล นักเขียนชื่อดัง เจ้าของหนังสือ Charlie and the Chocolate Factory โดยเน็ตฟลิกซ์มีแผนจะพัฒนางานของดาห์ลเป็นทั้งหนังยาว ซีรีส์ และแอนิเมชัน เช่นนั้นแล้ว The Wonderful Story of Henry Sugar และหนังสั้นอีก 3 เรื่องจึงเป็นหนึ่งในผลผลิตของเมกะโปรเจกต์นี้ ทุกเรื่องล้วนดัดแปลงมาจากงานเขียนของดาห์ล ซึ่งแอนเดอร์สันก็เหมาะสมที่จะรับตำแหน่งผู้กำกับ เพราะเขาเคยทำหนังเรื่อง Fantastic Mr. Fox (2009) ซึ่งสร้างจากหนังสือของดาห์ลเช่นกัน
แม้จะยอมรับว่าแอนเดอร์สันเป็นผู้กำกับที่เก่งกาจ แต่ปัญหาของผู้เขียนต่องานของเขาคือ มันเป็นหนังประเภทที่ผู้เขียนชอบในระดับ ‘สายตา’ เท่านั้น กล่าวคือสีสันและการเคลื่อนกล้องในหนังสุดแสนจะมีเสน่ห์และน่าหลงใหล แต่ ‘เนื้อเรื่อง’ นั้นออกจะเฉยๆ ด้วยเหตุหลายประการ อาทิ สไลต์ที่โดดเด่นมากกว่าตัวเรื่อง (หรือเรียกภาษาในวงการว่า สไตล์กลบคอนเทนต์) หรือหนังหลายเรื่องก็มีธีมเดิมๆ เกี่ยวกับครอบครัวอันไม่สมบูรณ์แบบ ซึ่งที่มาของความซ้ำก็มาจากการที่แอนเดอร์สันมักเขียนบทด้วยตัวเอง หรือร่วมเขียนบทกับคนเดิมๆ อย่าง โรมัน คอปโปลา หรือ โนอาห์ บอมบาค
ด้วยความที่เซ็ตหนัง The Wonderful Story of Henry Sugar ดัดแปลงมาจากผลงานของดาห์ล มันจึงมีลักษณะแตกต่างไปจากงานของแอนเดอร์สันอยู่บ้าง เรื่องราวดูจะมีความเป็นแฟนตาซีมากขึ้น อย่างเช่น The Wonderful Story of Henry Sugar นั้นว่าด้วยชายหนุ่มที่อ่านเจอเรื่องราวของโยคีที่มองเห็นสิ่งต่างๆ ได้โดยไม่ต้องใช้ตา เขาจึงพยายามเรียนรู้วิธีนั้นเพื่อโกงเงินจากคาสิโน ซึ่งจุดที่ผู้เขียนชอบใน The Wonderful Story of Henry Sugar อยู่ที่โครงสร้างการเล่าเรื่องของมันที่เป็นเรื่องเล่าซ้อนเรื่องเล่าซ้อนเรื่องเล่าไปเรื่อยๆ ประหนึ่งตุ๊กตาแม่ลูกดก (matryoshka doll) มันอาจไม่ได้ซับซ้อนเท่า Inception ของคริสโตเฟอร์ โนแลน และดูเป็นกิมมิกสนุกๆ แต่ก็พิสูจน์ได้ว่าแอนเดอร์สันไม่ได้เชี่ยวชาญเพียงงานด้านภาพ แต่เขายังเป็น ‘นักเล่าเรื่อง’ ตัวฉกาจ
แต่ในเมื่อนี่คือผลงานของ เวส แอนเดอร์สัน ลายเซ็นทางวิชวลของเขาจึงยังคงอยู่ครบถ้วนในหนังสั้นทั้ง 4 เรื่อง ไม่ว่าจะการจัดองค์ประกอบภาพแบบสมมาตร, การแทร็ก (เคลื่อนกล้อง) ไปทางด้านข้าง, เน้นใช้โทนสีจัดจ้าน และแม้จะดัดแปลงจากหนังสือ โรอาลด์ ดาห์ล เขาก็ยังคงให้นักแสดงเล่นแบบหน้าตายๆ นิ่งๆ และพูดไดอะล็อกแบบน้ำไหลไฟดับเช่นเดียวกับหนังทุกเรื่องของเขา
แต่สิ่งที่พิเศษในหนังชุด The Wonderful Story of Henry Sugar คือลักษณะของการเล่านิทาน ตัวละครพรั่งพรูถ้อยคำต่างๆ ออกมาในลักษณะ ‘บทบรรยาย’ มากกว่าจะเป็น ‘บทสนทนา’ งานยากของนักแสดงคือมันจะมีฉากที่พวกเขาต้องหันมาพูดกับคนดู (หรือ break the forth wall) เป็นระยะ ขณะเดียวกันพวกเขาก็ต้องเปลี่ยนตำแหน่งไปตามฉากต่างๆ ที่แอนเดอร์สันเซ็ตไว้เหมือนโรงละครเวที (และตามลายเซ็นของแอนเดอร์สันที่เปลี่ยนฉากต่างๆ อย่างไม่ปิดบัง อีกทั้งฉากเหล่านั้นก็ไม่ได้เน้นความสมจริงอะไรทั้งสิ้น) เช่นนั้นแล้วนักแสดงไม่เพียงต้องท่องบทพูด แต่ต้องจดจำภาษากายและตำแหน่งของตัวเอง เรียกได้ว่าแอนเดอร์สันไม่ใช่แค่กำกับนักแสดง แต่เป็นการออกแบบการเคลื่อนไหว (choreograph) เลยทีเดียว
ผู้เขียนต้องสารภาพว่าไม่ได้อ่านงานต้นฉบับของดาห์ลสักเท่าไร แต่บทวิจารณ์ส่วนใหญ่ชื่นชมว่าแอนเดอร์สันดัดแปลงงานของดาห์ลได้อย่างซื่อสัตย์ มีประเด็นน่าสนใจจากหนังสั้นตอนที่ชื่อว่า Poison มีฉากที่ตัวละครหนุ่มผิวขาวด่ากราดคุณหมอชาวอินเดียว่า “Bengali sewer rat” หรือไอ้หนูท่อเบงกาลี ซึ่งเมื่อปี 1958 ที่ อัลเฟรด ฮิตช์ค็อก ดัดแปลง Poison เป็นซีรีส์ทางโทรทัศน์เขาเลือกจะหลีกเลี่ยงคำเหยียดทางชาติพันธุ์นี้ หากแต่แอนเดอร์เลือกจะคงมันเอาไว้
การเลือกของแอนเดอร์สันดูช่างสวนทางกับกระแสโลกที่กำลังตื่นตัวการเหยียดและประเด็นอ่อนไหวต่างๆ อย่างเมื่อต้นปี 2023 ก็มีดราม่าใหญ่โตว่าสำนักพิมพ์ Puffin Books จะตีพิมพ์หนังสือของดาห์ลในฉบับแก้ไขที่ตัดคำที่มีลักษณะเหยียดรูปร่าง เพศสภาพ ชาติพันธุ์ออก เนื่องจากมันอยู่ในหมวดของวรรณกรรมเยาวชน แต่หลายฝ่ายก็ออกมาไม่เห็นด้วยว่านี่คือการทำลายต้นฉบับและเป็นการละเลยบริบททางสังคม (ในอีกแง่คือ ทำไมตอนที่ผลิตงานดาห์ลถึงเลือกใช้คำแบบนั้นหรือทำไมในยุคนั้นถึงยอมรับได้) จนในที่สุดทางสำนักพิมพ์ต้องออกมาขอโทษพร้อมประกาศว่า จะวางจำหน่ายหนังสือทั้งฉบับดั้งเดิมและฉบับแก้ไข
ไม่แน่ใจว่าการคงไว้ซึ่งการเหยียดชาติพันธุ์ (ซึ่งที่จริงเป็นเพียงฉากเล็กๆ ในหนัง) จะนำไปสู่ดราม่าอะไรหรือไม่ ก่อนหน้านี้ผู้เขียนเองก็รู้สึกหวาดเสียวไม่น้อยที่แอนเดอร์สันออกมาให้สัมภาษณ์ว่าเขายังอยากร่วมงานกับ บิล เมอร์เรย์ ต่อไปและเมอร์เรย์ถือเป็นคนในครอบครัว (เมอร์เรย์ถูก cancel culture อย่างกลายๆ ตั้งแต่ปี 2022 โดยเขาถูกกล่าวหาว่ามีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะต่อทีมงานผู้หญิงในกองถ่ายทำภาพยนตร์) ซึ่งสถานะของแอนเดอร์สันก็มีความเสี่ยงและย้อนแย้งอยู่ในตัว เพราะหนึ่งในฐานแฟนคลับของเขาก็คือคนรุ่นใหม่แบบ Instagram & TikTok generation ที่คลั่งไคล้สไตล์หนังของเขา แต่ขณะเดียวกันก็เป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มจะสนับสนุนแนวคิดแบบ woke หรือ cancel culture ด้วย
ผู้เขียนได้แต่ภาวนาว่าภาพยนตร์ของแอนเดอร์สันจะไม่ต้องมีฉบับ ‘แก้ไข’ แบบที่ผลงานของดาห์ลได้ประสบพบเจอ