svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

อ่านเกม “กัมพูชา” ล้ม JBC หักหน้าใคร? ไทยเสียรังวัด ก้าวไม่ทันเกม

อ่านเกม “กัมพูชา” ล้ม JBC หักหน้าใคร? ไทยเสียรังวัด "กัมพูชา" ถนัดเกมต่างประเทศ ลุยฟ้องศาลโลก เพราะเชื่อว่าได้เปรียบ จากที่เคยชนะคดี "ปราสาทพระวิหาร"

6 มิถุนายน 2568 ความไม่เชื่อมั่นที่มีต่อรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ในปมพิพาท "ไทย-กัมพูชา" พุ่งแรงขึ้นอีก เมื่อรัฐบาลกัมพูชาปฏิเสธที่จะจัดประชุม JBC หรือ คณะกรรมการเขตแดนร่วม ไทย-กัมพูชา ที่เดิมนัดประชุมกันวันที่ 14 มิถุนายนนี้ 

"เนชั่นทีวี" เราตรวจสอบข้อมูลจาก “ผู้รู้” เกี่ยวกับงานชายแดน อธิบายให้ฟังว่า ท่าทีนี้ของกัมพูชาสะท้อนว่า…

  1. "กัมพูชา" ไม่ได้ต้องการจบปัญหาพิพาทด้วยกลไก JBC หรือพูดอย่างตรงไปตรงมาคือ ไม่เอา “กลไกทวิภาคี” แต่น่าจะต้องการจูงสถานการณ์ไปสู่ศาลโลก หรือ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ให้มี “คนกลาง” ตัดสินปัญหามากกว่า 
  2. การที่ "กัมพูชา" ตัองการนำเรื่องไปสู่ศาลโลก เพราะเชื่อว่ามีความได้เปรียบประเทศไทย และตนเองเคยชนะคดีไทยบนศาลโลกมาแล้ว นั่นก็คือ คดีปราสาทพระวิหาร 
  3. "กัมพูชา" ต้องการใช้เรื่องนี้สร้างกระแสชาตินิยม เพื่อผลทางการเมืองในประเทศของตน 

ส่วนผลกระทบที่เกิดกับรัฐบาลเพื่อไทยทันควัน ก็คือ 

  1. รัฐบาลเหมือนถูกตบหน้า หรือ "หักหน้า" เนื่องจากเพิ่งออกแถลงการณ์ในนามรัฐบาลเป็นครั้งแรกเมื่อวานว่า ต้องการใช้แนวทางแก้ไขปัญหาข้อพิพาทผ่านกลไก JBC และ GBC หรือคณะกรรมการชายแดนทั่วไป 
  2. รัฐบาลเหมือนก้าวไม่ทันเกม "กัมพูชา" โดยเฉพาะกลเกมในเวทีต่างประเทศ จนดูเหมือนเสียเปรียบตลอด ทั้งสงครามข่าวสาร และการเปิดเกมรุกในการสร้างความชอบธรรมเหนือพื้นที่อ้างสิทธิ์ 
  3. ในขณะที่ไทยตั้งความหวังกับกลไก JBC ซึ่งไทยก็ไม่ได้มีความได้เปรียบ "กัมพูชา" ในกลไกนี้ แต่กัมพูชาก้าวไปอีกขั้น ด้วยการปฏิเสธกลไก JBC ซึ่งสองฝ่ายมีน้ำหนักเท่ากัน แต่ไปให้ความสำคัญกับกลไก “ศาลโลก” ที่กัมพูชามีแต้มต่อมากกว่า 
  4. ในแถลงการณ์ของรัฐบาลไทยเมื่อวาน( 5 มิ.ย.2568) ไม่ได้ปฏิเสธอำนาจของศาลโลกให้ชัดเจน เป็นทางการ ทำให้กัมพูชาช่วงชิงความได้เปรียบนี้ไปขยายผล 

ไทยเสียรังวัด "กัมพูชา" ถนัดเกมต่างประเทศ

“ข่าวข้นคนข่าว” สอบถามผู้รู้เพิ่มเติม เพื่ออ่านเกม "กัมพูชา" และแนวทางแก้ไขปัญหาของฝั่งไทย ได้คำตอบจากหลายคน ดังนี้

  • นักวิชาการด้านความมั่นคงชื่อดัง (ขอสงวนนาม) : ไทยตามหลังกัมพูชาหลายก้าว ในเวทีระหว่างประเทศ เสนอให้เปลี่ยนตัวทั้งรัฐมนตรีต่างประเทศ และรัฐมนตรีกลาโหม 
  • อดีตผู้บริหารหน่วยงานความมั่นคงระดับประเทศ ซึ่งปัจจุบันยังเป็นที่ปรึกษาให้กับองค์กรในสถาบันหลักของชาติ (ทีมองคมนตรี) : ท่าทีของกัมพูชาทำทุกอย่างที่ตนได้เปรียบมาตลอด และอดีตผู้นำมีความสัมพันธ์ รวมถึงเคยช่วยเหลืออดีตผู้นำไทย ซึ่งปัจจุบันเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล จึงทำอะไรแบบไม่เกรงใจ และฝ่ายรัฐบาลเข้าใจผิด คิดว่ามีอะไรจะคุยกับกัมพูชาได้ ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วคุยไม่ได้ การขึ้นศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ เป็นเรื่องที่ต้องหลีกเลี่ยง และรัฐบาลควรประกาศให้ชัดเจน เนื่องจากมีสถานะเป็นศาลการเมือง ล็อบบี้กันได้ แม้แต่ชาติมหาอำนาจ อย่างสหรัฐฯ หรือจีน ก็ไม่ยอมรับ
  • รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคง : เป็นแนวทางที่กัมพูชาทำมาตลอด เลื่อนประชุมบ้าง ล้มประชุมบ้าง ฉะนั้้น ไทยต้องพยายามกดดันให้กลับเข้าสู่กระบวนการทวิภาคี แต่ขณะนี้รัฐบาลยังทำไม่สำเร็จ  

เช็คลิสต์พี่ไทย “เสี่ยงพ่าย - อ่อนแอ - โดดเดี่ยว” 

อาจารย์ปณิธาน ยังประเมินต่อว่า รัฐบาลโดดเดี่ยว และอ่อนแอในเวทีนานาชาติเกินไปหรือไม่ 

  • ออกแถลงการณ์เกี่ยวกับสถานการณ์ไทย-กัมพูชา มาแล้วเมื่อวาน แต่ก็ดูเหมือนช้าไป 7 วัน 
  • สมช.เพิ่งจะเรียกประชุมทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับปัญหากัมพูชา เพื่อซักซ้อมแนวปฏิบัติให้ชัดเจนยิ่งขึ้น (ข่าวว่าจะประชุมวันนี้) 
  • ในขณะที่ไทยเพิ่งเริ่มดำเนินการดังกล่าว แต่ทางฝั่งกัมพูชา ตกผลึกเรื่องดำเนินนโยบายเชิงรุกแบบ "สามง่าม" กับไทยแล้ว

       ง่ามที่หนึ่ง : ผู้นำวางตัวด้วยท่าทีแบบนักการทูต ไม่สุดโต่งและไม่ก้าวร้าว 

       ง่ามที่สอง : ยุทธศาสตร์ทางทหารเชิงรุกขับเคลื่อนเต็มที่ 

       ง่ามที่สาม : ท่าทีปรองดอง รอมชอม ไม่ปิดทางการเข้าสู่พื้นที่การเจรจา 

จุดเด่นคือ ผู้ถือ “หอกสามง่าม” เป็นคนเดียวกัน ทำให้ทั้งองคาพยพขยับไปพร้อมกัน ซึ่งต่างจากของไทย ที่ต่างฝ่ายต่างถือกันคนละง่าม

  • กัมพูชา สถาปนา "แนวต้านทหารไทย" ในพื้นที่พิพาทอย่างต่อเนื่อง มีการเสริมกำลังหลายจุด ปรับการวางกำลังกระจายกันออกไปกว้างขึ้น จัดแนวต้านกระจายกันเป็นชั้นและเป็นระบบ พร้อมทั้งใช้โดรนบินตรวจลาดตระเวณแนวต้านใหม่ ทั้งที่ตาเมือนธม ตาควาย ช่องกร่าง ช่องปลดต่าง อย่างต่อเนื่อง 
  • กัมพูชา กำลังต้อนรับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเวียดนาม และเพิ่งหยิบยกประเด็นพิพาทไปพูดในเวทีแชงกรี-ล่า ไดอะล็อก ซึ่งเป็นการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมและผู้นำด้านความมั่นคงที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาค ในขณะที่ไทยค่อนข้างโดดเดี่ยวและอ่อนแอในเวทีความมั่นคงระดับโลก 

 

5 ฉากทัศน์จัดหนัก ไทยชะงัก ไม่มีแผนรับมือ

เป็นที่น่าสังเกตว่า สาเหตุที่รัฐบาลถูกวิจารณ์อย่างหนักในเรื่องนี้ เพราะเหมือนเดิมตามหลัง "กัมพูชา" จริงๆ และฝ่ายที่ขยับเร็วกว่า กลับกลายเป็นกองทัพ และภาคประชาชน 

  •  เมื่อวันก่อน ( 4 มิ.ย.2568)  “ข่าวข้นคนข่าว” ได้นำเสนอ “5 ฉากทัศน์” ประเมินสถานการณ์ที่ฝ่ายความมั่นคงทำเอาไว้ ปรากฏว่า ฉากทัศน์ที่ใกล้เคียง คือ ฉากทัศน์ที่ 5 คือ "กัมพูชา" ใช้การประชุม JBC ประวิงเวลา แล้วสร้างสถานการณ์อื่นแทรกขึ้นมา เพื่อจูงข้อพิพาทนี้ไปสู่ศาลโลก  โดยแนวทางประวิงเวลาที่กัมพูชานำมาใช้ คือ เลื่อน หรือ ล้มประชุม JBC ฉะนั้นหลังจากนี้ ต้องระมัดระวังการใช้กำลังทหาร เสียงปืนดังอย่างไม่ทราบสาเหตุ หรือการใช้มวลชนเข้ารุกกดดัน เช่น ร้องเพลงชาติ หรือเคลื่อนพลเรือนเข้าไปตั้งถิ่นฐาน ก่อสร้างอาคารบ้านเรือน 

 

ฝ่ายมั่นคงประเมิน 5 ฉากทัศน์ “วิกฤตช่องบก” แบบไหนเป็นไปได้มากสุด
https://www.nationtv.tv/politic/378962307

ย้อนอธิบาย 5 ฉากทัศน์ แล้วตั้งคำถามว่า จริงๆ ใน 5 ฉากทัศน์นี้ สิ่งที่รัฐบาลต้องทำคือ ชี้แจงประชาชนให้มั่นใจว่า รัฐบาลมียุทธศาสตร์รับมือกับทุกฉากทัศน์เรียบร้อยแล้ว แต่รัฐบาลก็ไม่ได้อธิบายอะไร และอาจจะไม่ได้เตรียมอะไรมากด้วย เนื่องจากมุ่งไปที่การประชุม JBC ทำให้ไทยดูเสียเปรียบ และถูกวิจารณ์ สุดท้ายจึงไม่ได้รับความเชื่อมั่นจากประชาชน 

โดยเฉพาะหาก "กัมพูชา" นำเรื่องไปฟ้องศาลโลก แม้ไทยจะไม่ยอมรับอำนาจศาลโลก แต่หากมีสถานการณ์ตึงเครียดเกิดขึ้น ศาลโลก ก็อาจกดดันไทยได้ ผ่านมหาอำนาจชาติต่างๆ ซึ่งขณะนี้ไทยโดดเดี่ยว ทั้งสหรัฐฯ และจีน ไม่ได้ยืนข้างไทย แต่ประเทศเหล่านั้นกลับใกล้ชิด "กัมพูชา" มากกว่า 

  • อีกหนึ่งตัวอย่าง คือ การประกาศไม่ยอมรับอำนาจศาลโลก เคยมีมติ ครม.ชัดเจน แต่คนที่ออกมาสื่อสารเรื่องนี้ไม่ใช่รัฐบาล กลับกลายเป็นอดีตรองเจ้ากรมพระธรรมนูญ พลเอก กฤษณะ บวรรัตนารักษ์
  • ตัวอย่างสำคัญอีกหนึ่งตัวอย่าง ที่ทำให้รัฐบาลถูกมองแง่ลบ คือ การออกตัวแทน "กัมพูชา" ว่า ภาพทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ที่ถูกเผยแพร่ทางสื่อสังคมออนไลน์ในเครือข่ายของกองทัพเป็นภาพเก่า ทั้งๆ ที่เรื่องนี้มีเงื่อนแง่ในการชิงความได้เปรียบ 

Type 72A ระเบิดสังหาร ระเบิดเก่าหรือไม่ อะไรคือสาระ?
https://www.nationtv.tv/politic/378962305

 

Type 72A ระเบิดเก่าหรือไม่ อะไรคือสาระ? 

ระเบิดที่ปรากฏในภาพที่มีการแชร์กัน และรองนายกฯภูมิธรรม บอกเป็น “ภาพเก่า - ระเบิดเก่า” นั้น 

“เนชั่นทีวี” ตรวจสอบจากหน่วยทำลายวัตถุระบิดของทหาร ได้ข้อมูลว่า ระเบิดตามภาพ คือ Type 72A เป็น “ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล” ระบบทำงาน “ระเบิดโดยแรงกด” ผลิตโดยประเทศจีน ปีที่ผลิตคือ 1987 

อายุของระเบิดชนิดนี้ ผลิตมาหลายปีแล้ว แต่การนำมาใช้ เป็นคนละเรื่องกับอายุของระเบิด หรือรุ่น หรือปีที่ผลิต 

เพราะกัมพูชาและประเทศไทย ได้ลงนามและให้สัตยาบันในอนุสัญญาออตตาวา ซึ่งมีชื่อเต็มว่า “อนุสัญญาว่าด้วยการห้ามใช้ การสะสม การผลิต และการถ่ายโอนกับระเบิดสังหารบุคคล และการทำลายกับระเบิด” 

โดยกัมพูชา ได้ลงนามเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 1997 และให้สัตยาบันเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 1999 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2000 

ประเทศไทย ได้ลงนามเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 1997 และให้สัตยาบันเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 1998 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 1999

"สรุป ... Type 72A คือ ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลที่ผิดกฎหมายตามอนุสัญญาออตตาวา หากมีการใช้ Type 72A ไม่ว่าฝ่ายใด ถือเป็นการละเมิดพันธกรณี ตามอนุสัญญาอย่างชัดเจน ไม่เกี่ยวว่าเป็นระเบิดใหม่หรือเก่า"


อย่างไรก็ตาม การที่  “บิ๊กอ้วน” ภูมิธรรม เวชยชัย ปรามการขยายประเด็นนี้ โดยอ้างว่าเป็น “ระเบิดเก่า” ต้องตอบคำถามให้ได้ว่า ระเบิดเก่า หมายถึง  “ภาพเก่าในอดีต” ที่นำมาใช้ใหม่ เพื่อขยายผลหรือสร้างกระแสลบกับสถานการณ์ หรือแค่บอกว่าเป็น “ระเบิดเก่า” ที่ผลิตมานานแล้ว 

" เพราะไม่ว่าจะระเบิดเก่าหรือใหม่ หากถูกนำมาใช้วางในพื้นที่อ้างสิทธิ์ ย่อมผิดอนุสัญญาออตตาวา และผิด MOU2543 ! "

ฉะนั้นไทยควรฉวยโอกาสนี้ ประท้วงหรือกดดับกัมพูชาอย่างเป็นทางการบ้างหรือไม่ แทนที่จะออกตัวแทนกัมพูชา เพื่อสร้างบรรยากาศมิตรภาพ ในขณะที่กัมพูชาไม่ได้ร่วมสร้างบรรยากาศดีๆ กับไทยเลย 

ตัวอย่างง่ายๆ ลองนำชื่อทุ่นระเบิดไปเสิร์ชในอินเทอร์เน็ต จะพบเลยว่า ทุนระเบิดชนิดนี้มีใช้ที่ประเทศใดบ้าง ซึ่งไม่มีประเทศไทย แต่กลับมีใช้ในเพื่อนบ้านของไทย อย่าง "กัมพูชา"