ดาวโจนส์ถล่มทลายเป็นระลอกที่ 3 ในเดือนก.พ.

เนื่องจากความกลัวว่าอัตราดอกเบี้ยจะพุ่งขึ้นเร็วกว่าคาดการณ์ในปีนี้ โดยนักวิเคราะห์คาดสัญญาณบ่งชี้ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทได้ปรับฐานทางเทคนิคครั้งใหญ่ในขณะนี้ รอทดสอบอาจจะเกิดภาวะตลาดหมีที่ทำให้ทิศทางการลงทุนตกอยู่ในภาวะซบเซา หากดัชนีดาวโจนส์ร่วงหลุดลงไปทดสอบที่ระดับ 21,000

ขณะที่หุ้นทั่วโลกทรุดตัวตาม โดยเฉพาะหุ้นที่เป็นศูนย์กลางการเงินในเอเชีย โดยวัดจากดัขนี MSCI Asia Pacific Index เปรียบเทียบกับวันที่ 26 มกราคมที่มีการทำ record ไว้สูงสุุด ดังตัวอย่าง Hang Seng ฮ่องกงที่ดิ่งลง 9.9% Shanghai Composite ของจีนดิ่งลง 9.7% Nikkei 225 ญี่ปุ่นดิ่งลง 8.9%


1. ดัชนีดาวโจนส์ทรุดตัวลงถึง 2,800 จุดในเดือนกุมภาพันธ์ถึง 3 ระลอกใหญ่ หลังจากดาวโจนส์ดิ่งลงล่าสุด 1,032.89 จุด หรือ 4.1% ปิดที่ระดับ 23,860 ในวันพฤหัสฯที่ 8 กุมภาพันธ์ ต่อเนื่องจากระลอกที่ 2 ซึ่งดิ่งลง 1,175 จุดหรือ 4,5% เมื่อวันจันทร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ และระลอกแรกที่ดิ่งลง 666 จุดหรือ 2.54% ในวันศุกร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

ขณะที่ดัชนีหุ้น S&P 500 ดิ่งลง 3.8% สู่ระดับ 2,581 ในวันพฤหัสฯ ซึ่งเป็นการปรับตัวลดลงมากกว่า 10% จากรับสูงสุดเมื่อวันที่ 26 มกราคม และดัชนี Nasdaq ดิ่งลง 3.9% สู่ระดับ 6,777 เป็นการปรับตัวลดลง 9.7% จากจุดพีค

เนื่องจากความกลัวของนักลงทุนพากันถล่มขายหุ้นระลอกใหญ่เป็นครั้งที่ 3 ช่วงค่ำคินที่ผ่านมา หลังอัตราผลตอบแทนบอนด์รัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีพุ่งทะลุ 2.884% จุดปะทุการเทขายของนักลงทุน ว่าจะส่งผลต่อการปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วเกินคาดการณ์ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในปีนี้ ซึ่งเป็นจุดขนวนการเทขายในระดับเดียวกับที่ดาวโจนส์ถูกถล่มจนดิ่งลงลึกถึง 1,600 จุดในระหว่างวันเมื่อวันจันทร์ที่ผ้่นมา

2. การดิ่งลงของตลาดหุ้นวอลล์สตรีทมากกว่า 1,000 จุดอีกครั้งหนึ่งนั้น ส่งผลให้สูญมูลค่าหุ้นจากรายงานชอง Citys Equities มากถึง 475,000 ล้านดอลลาร์ในวันพฤหัสฯเพียงวันเดียว อาจเทียบเท่ากับอัตราผลตอบแทนที่จะเกิดขึ้นในปีนี้

โดยเฉพาะหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ 5 บริษัทมีราคาหุ้นดิ่งลงรุนแรงจนส่งผลต่อมูลค่าหุ้นทรุดตัวลงอย่างหนักถึง 437,000 ล้านดอลลาร์ ทั้งมูลค่าหุ้นใน Alphabet ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Google และมูลค่าหุ้น Apple รวมถึง Microsoft Facebook และ Amazon

โดยที่รายงานของ Citys Equities ก่อนหน้านี้ยังระบุว่า การดิ่งลงของดัชนี S&P 500 ซึ่งเป็นตลาดหุ้นที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของสหรัฐเฉพาะแค่วันจันทร์วันเดียวทำให้มูลค่าหุ้นสูญถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์

3. นอกจากนี้ บลูมเบิร์กได้รายงานว่า มหาเศรษฐีอเมริกันที่รวยหุ้น ซึ่งได้รับผลกระทบจากการดิ่งลงของคลาดหุ้นวอลล์สตรีทเมื่อวันพฤหัสฯ ต้องสูญความมั่งคั่งจากมูลค่าหุ้นที่ลดลง 16,300 ล้านดอลลาร์

ประกอบด้วย Jeff Bezos มหาเศรษฐีอันดับ 1 มั่งคั่งลดลง 5,300 ล้านดอลลาร์ จาก 113,200 ล้านดอลลาร์ Warren Buffett มหาเศรษฐีอันดับ 3 มั่งคั่งลดลง 3,500 ล้านดอลลาร์ จาก 82,600 ล้านดอลลาร์ Mark Zuckerberg มหาเศรษฐีอันดับ 4 มั่งคั่งลดลง 3,400 ล้านดอลลาร์ จาก 70,800 ล้านดอลลาร์ Larry Page มหาเศรษฐีอันดับ 9 มั่งคั่งลดลง 2,100 ล้านดอลลาร์ จาก 50,500 ล้านดอลลาร์ Sergey Brin มหาเศรษฐีอันดับ 10 มั่งคั่งลดลง 2,000 ล้านดอลลาร์ จาก 49,200 ล้านดอลลาร์


4. ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียก็ไดัรับผลกระทบที่รุนแรงในภาพรวมเช่นเดียวกัน ไม่ใข่ดึ้เกิดขึ้นในตลาดใดตลาดหนึ่ง โดยวัดจากดัขนี MSCI Asia Pacific Index เปรียบเทียบกับวันที่ 26 มกราคมที่มีการทำ record ไว้สูงสุุด

ดังเช่นตัวอย่างของดัชนี Hang Seng ฮ่องกงที่ดิ่งลง 9.9% Shanghai Composite ของจีนดิ่งลง 9.7% Nikkei 225 ญี่ปุ่นดิ่งลง 8.9% Taiex ไต้หวันดิ่งลง 8.1% Topix ญี่ปุ่นดิ่งลง 8% Kospi เกาหลีใต้ ดิ่งลง 6.6%


5. ทั้งนี้ ตลาดยังคงจับตา การปรับขึ้นของอัตราผลตอบแทนบอนด์รัฐบาลสหรัฐ (บอนด์ยีลด์) อายุ 10 ปีที่พุ่งทะลุ 2.884% เมื่อวันพฤหัสฯ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 4 ปีและเป็นระดับเดียวกับที่พุ่งขึ้นเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ที่เป็นจุดปะทุการเทขายหุ้นอย่างหนักท่ามกลางความกลัวของนักลงทุนที่คาดว่าจะกดดันให้ธนาคารกลางสหรัฐต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ในปีนี้

ล่าสุด บอนด์ยีลด์ 10 ปีของรัฐบาลสหรัฐทรงตัวที่ 2.835% ในเช้าวันนี้ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปีอาจจะทะลุถึง 3.0-3.5% ในปันี้ หลังจากที่บอนด์ยีลด์ 30 ปีของรัฐบาลสหรัฐพุ่งขึ้นยินเหนือ 3.12% แล้ว