ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน วัย 71 ปี สาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีภายในพระราชวังเครมลินในกรุงมอสโกในวันอังคารที่ 7 พฤษภาคม โดยไม่มีผู้แทนจากสหรัฐฯ และชาติตะวันตกบางประเทศเข้าร่วมพิธี สืบเนื่องจากรัสเซียทำสงครามในยูเครน และมองว่าการเลือกตั้งประธานาธิบดีของรัสเซียเมื่อเดือนมีนาคมไม่มีความเสรีและความยุติธรรม
ปูตินชนะเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงท่วมท้นแบบไร้คู่แข่งที่แท้จริง โดยมีผู้สมัครไม้ประดับอีกเพียง 3 คน ขณะที่ผู้สมัครพรรคฝ่ายค้านส่วนใหญ่เสียชีวิต ถูกจำคุก ลี้ภัย หรือ ถูกห้ามลงสมัคร
ปูตินกล่าวหลังสาบานตนด้วยว่า รัสเซียยังคงเปิดกว้างเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีกับทุกประเทศที่มองรัสเซียในฐานะหุ้นส่วนที่มีเกียรติและไว้ใจได้ และรัสเซียไม่ปฏิเสธการเจรจากับชาติตะวันตก แต่ขึ้นอยู่กับว่าชาติเหล่านั้นจะเลือกแนวทางใดระหว่างเดินหน้าหยุดยั้งการพัฒนาของรัสเซีย รุกรานและกดดันรัสเซียต่อไป หรือ เลือกเส้นทางสู่ความร่วมมือและสันติภาพ
นอกจากนี้เขาเตือนชาวรัสเซียไม่ให้ลืมเลือนบทเรียนเกี่ยวกับความสูญเสียจากความขัดแย้งภายในประเทศ และย้ำว่าระบบการเมืองและภาครัฐจะต้องเข้มแข็งและต้านทานความท้าทายและภัยคุกคาม เพื่อปกป้องการพัฒนา เอกภาพและเอกราชของประเทศได้
และหลังจากพิธีสาบานตน ประธานาธิบดีปูติน ได้ตรวจแถวทหารกองเกียรติยศที่จตุรัสด้านนอกพระราชวังเครมลิน และไปร่วมพิธีมิสซาที่โบสถ์
ปูตินเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรกในปี 2543 โดยเป็นครั้งแรกที่รัสเซียมีการเปลี่ยนผ่านอำนาจผ่านการเลือกตั้ง และเขากล่าวในวันนั้นว่า ผลการเลือกตั้งพิสูจน์ให้เห็นว่ารัสเซียกลายเป็นรัฐประชาธิปไตยที่ทันสมัย
ปูตินกุมอำนาจบริหารในรัสเซียทั้งในตำแหน่งประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรีรวมระยะเวลา 24 ปีแล้ว และหากเขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีครบวาระอีก 6 ปี จะทำให้เขาครองอำนาจยาวนานถึง 30 ปี
ที่ผ่านมาเมื่อผู้นำรัสเซียเริ่มรับตำแหน่ง คณะรัฐมนตรีมักลาออกเพื่อให้ประธานาธิบดีสามารถแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ และสิ่งที่น่าจับตาในเวลานี้ คือ ตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหม
เมื่อปีที่แล้วเซอร์เก ชอยกู รัฐมนตรีกลาโหมเผชิญแรงกดดันอย่างหนักสืบเนื่องจากความล้มเหลวในการทำสงครามในยูเครน ที่ยืดเยื้อมานานกว่า 2 ปีแล้ว และนักวิเคราะห์มองว่า เขาอาจถูกปรับออกได้ แต่ก็เป็นความเสี่ยงในขณะที่ประเทศยังอยู่ในภาวะสงคราม
นักวิเคราะห์บอกด้วยว่า ด้วยอำนาจล้นมือ รัฐบาลภายใต้การนำของปูตินอาจออกมาตรการปรับขึ้นภาษีเพื่อเพิ่มงบประมาณในการทำสงคราม และเพิ่มการเกณฑ์ทหารเข้ากองทัพมากขึ้น