svasdssvasds
เนชั่นทีวี

สุขภาพ

ไขข้อข้องใจ โรค"ความดันโลหิตต่ำ" ดีกว่าโรค"ความดันโลหิตสูง" จริงหรือ?

15 พฤศจิกายน 2566
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

รู้หรือไม่? แบบไหนเรียกความดันโลหิตต่ำ-ความดันโลหิตสูง ชวนหาคำตอบโรคความดันโลหิตสูง-ต่ำ แบบไหนดีกว่า และอันตรายที่หลายคนไม่เคยรู้มาก่อนของทั้งสองโรค พร้อมแนวทางสังเกตอาการและวิธีป้องกันตัวเองจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรังนี้

การไม่มีโรคคือลาภอันประเสริฐแล้วสำหรับคนในยุคปัจจุบัน เพราะหลายปัจจัยในทุกวันนี้เร่งให้มนุษย์เรามีโรคภัย ทั้งเรื่องของไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต ความเครียด อาหาร ตลอดจนเรื่องของสภาวะแวดล้อมทั้งฝุ่น PM2.5 และไมโครพลาสติก สำหรับหนึ่งในโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่ฝังรากในคนไทย คือ "โรคความดันโลหิต" ซึ่งวัดจากค่าความดันของกระแสเลือดที่ส่งแรงกระทบกับผนังหลอดเลือดแดง ที่เกิดจากกระบวนการของหัวใจในการสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงทั่วร่างกาย โดยความผิดปกติที่เกิดขึ้นจากค่าความดันโลหิต คือ "ความดันโลหิตสูง" และ "ความดันโลหิตต่ำ" โดยค่าความดันโลหิตมีเป็นหน่วยมิลลิเมตรปรอท (mmHg) วัดได้ 2 ค่า ได้แก่

  • ความดันโลหิตค่าบน  คือแรงดันโลหิตที่เกิดจากการ "บีบตัว" ของหัวใจเต็มที่
  • ความดันโลหิตค่าล่าง คือแรงดันโลหิตที่เกิดจากการ "คลายตัว" ของหัวใจ

ไขข้อข้องใจ โรค\"ความดันโลหิตต่ำ\" ดีกว่าโรค\"ความดันโลหิตสูง\" จริงหรือ?

แบบไหนเรียกความดันโลหิตต่ำ-ความดันโลหิตสูง

ความดันโลหิตต่ำ (Hypotension)

โดยทั่วไปในทางการแพทย์ ความดันโลหิตของผู้ใหญ่ที่ต่ำกว่า 90/60 มิลลิเมตรปรอท (MmHg) จะถูกจัดว่าเข้าข่าย "ความดันโลหิตต่ำ" ซึ่งมักจะทราบกันตอนไปตรวจร่างกายประจำปี และคนส่วนมากมักจะไม่ค่อยให้ความสำคัญหรือกังวลที่ตัวเองมีความดันโลหิตต่ำ เว้นเสียแต่ว่าจะมีอาการผิดปกติอื่นๆ เกิดขึ้น เพราะคนส่วนมากทราบว่าการมีความดันโลหิตต่ำดีกว่าการมีความดันโลหิตสูง และความดันโลหิตต่ำส่วนมากจะมีอาการดีขึ้นเองโดยไม่ต้องได้รับการรักษา อย่างไรก็ตาม ภาวะความดันโลหิตต่ำอาจทำให้เกิดอาการวิงเวียนศีรษะ (อาการบ้านหมุน) และเป็นลมได้ และกรณีที่รุนแรง ความดันโลหิตต่ำอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ด้วย

ความดันโลหิตสูง (Hypertension)

ค่าปกติของความดันโลหิต โดยเฉลี่ยคือประมาณ 120/80 มิลลิเมตรปรอท โดยวัดจากการบีบตัวและคลายตัวของหัวใจ ความดันโลหิตสูง หมายถึง ภาวะที่มีการเปลี่ยนแปลงความดันในหลอดเลือดที่สูงขึ้น โดยหากวัดได้ค่าตั้งแต่ 140/90 มิลลิเมตรปรอทขึ้นไปถือว่ามีโอกาสเป็นความดันโลหิตสูง  อย่างไรก็ตาม ความดันโลหิตมีความแตกต่างกันในแต่ละในช่วงวัย

การอ่านค่าความดันโลหิต

ปัจจุบันค่าความดันโลหิตที่ยอมรับได้ในผู้ที่อายุมากกว่า 60 ปี  ควรตํ่ากว่า 150/90 มิลลิเมตรปรอท ขณะที่อายุน้อยกว่า 60 ปี หรือผู้ป่วยเบาหวาน และผู้มีภาวะไตเสื่อม ค่าความดันโลหิต ควรตํ่ากว่า 140/90 มิลลิเมตรปรอท

  • ระดับความดันโลหิตที่ดี มีค่าความดันโลหิตตัวบน ต่ำกว่า 120 และ ความดันโลหิตตัวล่าง ต่ำกว่า 80
  • ระดับความดันโลหิตปกติ  มีค่าความดันโลหิตตัวบน 120 – 129 และ / หรือ ความดันโลหิตตัวล่าง 80 - 84
  • ระดับความดันโลหิตค่อนข้างสูง  มีค่าความดันโลหิตตัวบน 130 – 139 และ / หรือ ความดันโลหิตตัวล่าง 85 – 89
  • ระดับความดันโลหิตสูงเล็กน้อย  มีค่าความดันโลหิตตัวบน 140 – 159 และ / หรือ ความดันโลหิตตัวล่าง 90 – 99
  • ระดับความดันโลหิตสูงปานกลาง  มีค่าความดันโลหิตตัวบน 160 – 179 และ / หรือ ความดันโลหิตตัวล่าง 100 – 109
  • ระดับความดันโลหิตสูงมาก  มีค่าความดันโลหิตตัวบน ตั้งแต่ 180 ขึ้นไป และ / หรือ ความดันโลหิตตัวล่าง ตั้งแต่ 110 ขึ้นไป

ทั้งนี้ ค่าความดันโลหิตสูงอาจไม่ได้หมายถึงการเป็นความดันโลหิตสูงเสมอไป เพราะสามารถเกิดได้จากปัจจัยอื่นๆ เช่น มีความเครียด ความตื่นเต้น หรือการดื่มชา/กาแฟ เป็นต้น

ไขข้อข้องใจ โรค\"ความดันโลหิตต่ำ\" ดีกว่าโรค\"ความดันโลหิตสูง\" จริงหรือ?

ความดันเท่าไหร่ควรไปพบแพทย์

โดยปกติแล้ว หากวัดค่าความดันโลหิตได้ 130-139/85-89 มิลลิเมตรปรอท ก็ควรไปพบแพทย์ เพื่อตรวจประเมินความผิดปกติที่เกิดขึ้นต่ออวัยวะภายในร่างกายจากโรคความดันโลหิตสูง และตรวจความเสี่ยงโรคระบบหัวใจและหลอดเลือด เพื่อให้แพทย์พิจารณาควบคุมความดันโลหิตสูงด้วยวิธีต่างๆ เช่น การปรับพฤติกรรม หรือการรับประทานยา และมักต้องนัดหมายแพทย์เป็นประจำ เพื่อปรึกษาแพทย์และอ่านค่าความดันโลหิตอย่างสม่ำเสมอ

ในขณะที่บางคนมองว่าอาการวิงเวียนศีรษะหรือหน้ามืดเป็นครั้งคราวอาจเป็นปัญหาเล็กน้อย เช่น เป็นผลมาจากภาวะขาดน้ำเล็กน้อย หรือน้ำในอ่างอาบน้ำร้อนเกินไป  แต่จะเห็นได้ว่าอาการที่เกิดขึ้นเหล่านี้ ร่างกายอาจกำลังบอกอะไรกับเราก็ได้ ดังนั้น จึงไม่ควรชะล่าใจ แต่ควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว

ทั้งนี้ หากมีอาการวิงเวียนหรือหน้ามืดเวลาลุกขึ้นยืน ควรวัดความดันในท่ายืนด้วย โดยเริ่มต้นวัดความดันในท่านอนก่อน หลังจากนั้นลุกขึ้นยืน วัดความดันภายในเวลา 1 และ 3 นาทีหลังจากลุกขึ้นยืน  หากความดันโลหิตตัวบนในท่ายืนต่ำกว่าท่านอน  ≥  20 mmHg แสดงถึงภาวะความดันโลหิตต่ำเมื่อเปลี่ยนท่า (Orthostatic Hypotension) ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการวิงเวียนศีรษะและเป็นลมได้ เนื่องจากสมองไม่ได้รับเลือดเพียงพอ  และบ่งบอกถึงปัญหาและอาการที่ร้ายแรงอาจถึงแก่ชีวิตที่ตามมาได้ ได้แก่ เกิดความสับสนโดยเฉพาะในผู้สูงอายุ ตัวซีด เย็น หายใจเร็วและตื้น ชีพจรเต้นอ่อน หรือเต้นเร็วผิดปกติ หรือมีอาการช็อก  

และหากมีความดันโลหิตสูง แต่ปล่อยทิ้งไว้ให้ความดันโลหิตสูงอยู่ในระดับเดิมนานๆ อาจทำให้อวัยวะต่างๆ ในร่างกายเสื่อมสภาพ และเป็นสาเหตุให้เกิดโรคต่างๆ เพิ่มขึ้น เช่น มีโอกาสเป็นโรคหัวใจตีบตัน 3-4 เท่า และโรคหลอดเลือดสมองตีบตัน 7 เท่าของผู้ที่มีความดันปกติ

วิกฤตความดันโลหิตสูง คือค่าความดันโลหิตที่วัดได้นั้นสูงกว่า 180/110 มิลลิเมตรปรอท เมื่อวัดความดันโลหิตแล้วได้ค่านี้ ต้องรีบไปพบแพทย์ทันที เพื่อตรวจวัดความดันอย่างถูกต้องและรับการรักษา เนื่องจากภาวะนี้เป็นสัญญาณของความเสียหายของอวัยวะภายใน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย  เช่น อาการเจ็บหน้าอก หายใจลำบาก ปวดหลัง ชา/อ่อนแรง การมองเห็นเปลี่ยนไปหรือพูดลำบาก  

ทั้งนี้ แม้ความดันโลหิตสูงจะพบได้บ่อยในผู้ใหญ่ แต่ในเด็กก็มีความเสี่ยงเช่นกัน สำหรับเด็กบางกลุ่ม ภาวะความดันโลหิตสูงเกิดจากปัญหาเกี่ยวกับไตหรือหัวใจ แต่ก็มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ที่เกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่ดี เช่น การรับประทานอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ และขาดการออกกำลังกาย

สาเหตุของความดันโลหิตต่ำ-ความดันโลหิตสูง

สาเหตุของความดันโลหิตต่ำ เกิดขึ้นได้จากหลากหลายปัจจัย คืออาจจะเนื่องมาจากอัตราการส่งเลือดออกจากหัวใจลดลงเพราะลิ้นหัวใจผิดปกติ หัวใจเต้นผิดจังหวะ ภาวะที่เกิดมีลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดแดงปอด กล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแอหลังจากเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน หรือกล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแออันเนื่องมาจากโรคกล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติ

นอกจากนี้ ยังอาจจะเกิดจากปริมาณเลือดภายในร่างกายลดลง เนื่องมาจากการขาดน้ำ หรือการสูญเสียเลือดจำนวนมาก หรือการขยายตัวของหลอดเลือดมากเกินไป เช่น เกิดจากภาวะช็อกจากโรคติดเชื้อ โรคภูมิแพ้ การถูกแดดแรงๆ ระบบประสาทมีปัญหา หรือการใช้ยาบางอย่าง ขณะที่ผู้หญิงตั้งครรภ์ก็อาจจะมีความดันโลหิตต่ำได้เช่นกัน

สาเหตุจากโรคอื่นๆ ความดันโลหิตต่ำชนิดที่ผิดปกติอาจจะเกี่ยวเนื่องกับสาเหตุที่แตกต่างกันหลายอย่าง เช่น

  • อาการหมดสติชั่วขณะ อันเนื่องมาจากความเครียดหรืออาการปวด
  • Hypoaldosteronism ซึ่งเกิดจากการที่ต่อมหมวกไตสร้างฮอร์โมนสเตอรอยด์ได้น้อยกว่าปกติ
  • โรคพาร์กินสัน
  • โรคแอดดิสัน (Addison’s disease) ซึ่งอาจจะทำให้เกิดความดันโลหิตต่ำได้ อันเนื่องมาจากอาการท้องเสีย ปัสสาวะ หรือเหงื่อออกมากเกินไป
  • เบาหวานซึ่งไม่ได้รับการรักษา หรือการบาดเจ็บที่ไขสันหลังก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความดันโลหิตต่ำได้ อันเป็นผลเนื่องมาจากความเสียหายที่เกิดขึ้นกับเส้นประสาทที่ควบคุม ขนาดของหลอดเลือด

สาเหตุของความดันโลหิตสูง พบว่าผู้มีอาการความดันโลหิตสูงส่วนใหญ่ไม่แสดงอาการและตรวจไม่พบสาเหตุ แต่หากมีการตรวจพบมักเกิดจากภาวะแทรกซ้อนจากโรค เช่น โรคไตเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจ โรคเบาหวาน และภาวะหยุดหายใจขณะหลับ เป็นต้น หากไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้องอาจนำไปสู่ความพิการหรืออันตรายถึงชีวิต นอกจากนี้แล้ว ยังเกิดจากพฤติกรรมหรือปัจจัยเสี่ยง ได้แก่

  • อายุ ความเสี่ยงของความดันโลหิตสูงเพิ่มขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น
  • เพศ ความดันโลหิตสูงพบได้บ่อยในผู้ชายมากกว่า ทั้งนี้ ผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคความดันโลหิตสูงหลังอายุ 65 ปี
  • พันธุกรรม
  • การรับประทานอาหารรสเค็มจัด
  • การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์
  • ขาดออกกำลังกาย

ไขข้อข้องใจ โรค\"ความดันโลหิตต่ำ\" ดีกว่าโรค\"ความดันโลหิตสูง\" จริงหรือ?

แนวทางสังเกตอาการและป้องกันตัวเองจากโรคความดันโลหิต

อาการในผู้ที่มีความดันโลหิตต่ำ

สำหรับบางคน ความดันโลหิตต่ำเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงปัญหาพื้นฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อความดันโลหิตลดลงอย่างกะทันหัน หรือมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น

  • วิงเวียนศีรษะหรือหน้ามืดเป็นลม
  • ตาพร่ามัว
  • คลื่นไส้
  • อ่อนเพลีย
  • ขาดสมาธิ
  • ช็อก

การดูแลตัวเองเมื่อเป็นความดันโลหิตต่ำ

  • เพิ่มสารอาหาร และรับประทานอาหารมื้อเล็กๆ ที่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำ
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ
  • หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  • หลีกเลี่ยงการนอนดึก และเวลานอนไม่ควรนอนหนุนหมอนที่ต่ำเกินไป
  • ไม่ควรยืนนานๆ หรือเปลี่ยนอิริยาบทอย่างรวดเร็วเกินไป
  • ใช้ยาอย่างระมัดระวัง โดยแจ้งให้แพทย์ทราบถึงปัญหาความดันโลหิตต่ำ  เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้ยาที่ส่งผลให้ความดันโลหิตลดต่ำลง

 

อาการในผู้ที่มีความดันโลหิตสูง

ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงส่วนใหญ่มักไม่มีอาการผิดปกติ  แม้ว่าค่าความดันโลหิตที่อ่านได้จะสูงถึงระดับที่อันตรายก็ตาม อาจพบอาการดังนี้

  • เวียนศีรษะ ตึงต้นคอ ซึ่งมักเกิดขึ้นในช่วงเช้าหลังตื่นนอน
  • อาการใจสั่น
  • อ่อนเพลีย
  • ตาพร่ามัว
  • มีเลือดกำเดาไหล

การดูแลตัวเองเมื่อเป็นความดันโลหิตสูง

  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด โดยเฉพาะรสเค็ม เช่น อาหารสำเร็จรูป และอาหารหมักดอง
  • งดการสูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
  • ออกกำลังกายเป็นประจำ และควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
  • ทำจิตใจให้แจ่มใส ลดความวิตกกังวลและความเครียดลง 
  • ปรึกษาแพทย์เรื่องการรับประทานยา และปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด

 

อ่านมาถึงตรงนี้คงไขข้องข้องใจ โรคความดันโลหิตต่ำ ดีกว่าโรคความดันโลหิตสูงจริงหรือ? ได้แล้ว ว่าความจริงนั้นทั้งสองอาการคืออาการผิดปกติที่ไม่ได้ดีมากหรือน้อยไปกว่ากัน เพียงแต่มักพบผู้ป่วยที่มีอาการความดันโลหิตสูงมากกว่าในปัจจุบัน เนื่องด้วยไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต ความเครียดสะสม รวมทั้งปัจจัยในเรื่องอาหารและการออกกำลังกายที่หลายคนละเลย ส่วนในผู้ที่มีความดันโลหิตต่ำ แม้เป็นๆ หายๆ ก็ไม่ควรนิ่งดูดาย ลองปรับพฤติกรรม รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพียงเท่านี้การมีสุขภาพดี ปลอดภัยจากโรคความดันก็เป็นลาภอันประเสิริฐสำหรับคนในปัจจุบันแล้ว

logoline