โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) เผยแพร่รายงาน “ความยากจนและเศรษฐกิจครัวเรือนของเมียนมา : ชนชั้นกลางหายไป” เมื่อวันพฤหัสบดี (11 เมษายน 2567) มีเนื้อหาที่เผยให้เห็นผลกระทบเชิงลึกนับจากกองทัพก่อรัฐประหารยึดอำนาจเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2564
รายงานระบุว่า ประชากรเกือบครึ่งหนึ่งหรือ 49.7% จากประชากรทั้งสิ้น 54 ล้านคน ของเมียนมา มีรายได้ในระดับต่ำกว่าเส้นยากจน หรือ มีรายได้ไม่ถึง 76 เซนต์ต่อวัน ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากจากเดิมมีสัดส่วนเพียง 24.8%
ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในประเทศยังไม่มีทีท่าจะฟื้นตัวได้นับจากมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) หดตัวรุนแรถึง 17.9% ในปี 2564 ประชากรชนชั้นกลาง ที่จะช่วยให้ประเทศฟื้นตัวรวดเร็ว กำลังหดหายอยางรวดเร็วและกลายเป็นคนยากจน
รายงานของ UNDP ประเมินว่า เมียนมาจำเป็นต้องใช้งบประมาณมากถึง 4,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี จึงจะสามารถแก้ไขปัญหาความยากจนได้อยางมีประสิทธิภาพ
อาคิม สไตเนอร์ ผู้อำนวยการ UNDP บอกว่า จากข้อมูลใหม่พบว่า มีประชากรไม่ถึง 25% ที่มีรายได้คงที่เพียงพอทำให้มีชีวิตอยู่เหนือเส้นความยากจน แต่หากไม่มีการแทรกแซงอย่างทันทีด้วยการแจกเงินสด เพิ่มความมั่นคงทางอาหาร และการเข้าถึงบริการพื้นฐาน กลุ่มคนเปราะบางจะเพิ่มสูงขึ้น และผลกระทบจะยืดเยื้อไปอีกหลายชั่วอายุคน และขอให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมดทั้งภายในและภายนอกเมียนมา เร่งดำเนินการช่วยเหลือครอบครัวเปราะบางไม่ให้ตกอยู่ในภาวะยากจนและสิ้นหวัง
รายงานนี้เป็นผลจากการสำรวจครัวเรือนกว่า 12,000 ราย ในเมียนมาระหว่างเดือนมิถุนายน-ตุลาคม 2566 ซึ่งเป็นการสำรวจทั่วประเทศครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในช่วงหลายปีนี้ และพบว่า ครอบครัวส่วนใหญ่ถูกบีบให้ต้องดิ้นรนด้วยวิธีต่าง ๆ เพื่อความอยู่รอด เช่น ลดการใช้จ่ายเรื่องค่ารักษาพยาบาลและการศึกษา นำเงินออมออกมาใช้จ่าย กู้ยืม และบริโภคน้อยลง
นอกจากนี้ความยากจนยังแพร่กระจายในพื้นที่เมือง ที่เคยมั่งคั่งรุ่งเรือง อย่าง ย่างกุ้ง และมัณฑะเลย์ด้วยแล้ว และรายงานย้ำความจำเป็นเร่งด่วนที่นานาชาติต้องให้ความช่วยเหลือแก่ชุมชนทั้งในเมืองและชนบททั่วทุกภูมิภาคของประเทศ