
กฤษฎา บุญเรือง
31 ตุลาคม ค.ศ. 2024
เหลือเวลาอีก 5 วันก็จะถึงการเลือกตั้งทั่วไปในสหรัฐฯ ชาวอเมริกันไปลงคะแนนเสียงล่วงหน้าแล้วประมาณ 60 ล้านคน จากจำนวนที่คาดว่าจะลงคะแนนทั้งหมดประมาณ 155 ล้านคน ที่น่าสังเกตคือผู้ไปลงคะแนนเสียงล่วงหน้าแยกเป็นอัตราส่วนของสตรี 54% เทียบกับบุรุษ 44% อ้างอิง https://www.nbcnews.com/politics/2024-elections/early-vote
“เป็นสัญญาอันดีต่อแฮร์ริสและพรรคเดโมแครต”
ข้อมูลการลงคะแนนเสียงล่วงหน้าว่ามีใครบ้างที่ไปลงคะแนนเสียงแล้ว คูหาใด รัฐใด และจำนวนเท่าไหร่นั้น เป็นข้อมูลที่เปิดเผยได้โดยถูกต้องตามกฎหมาย ส่วนการที่ใครจะลงคะแนนเสียงให้ใครนั้นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถเปิดเผยได้และต้องเก็บเป็นความลับ
ประเมินได้อย่างไรว่าเดโมแครตได้เปรียบ?
ถึงแม้ไม่รู้ว่าสตรีที่ลงคะแนนเสียงล่วงหน้าไปแล้วนั้นลงคะแนนเสียงให้ใคร แต่สามารถประเมินผลได้จากการสำรวจคะแนนนิยมจากการเลือกตั้งหลายสมัยติดต่อกันมา ซึ่งตามสถิติแล้วสตรีเลือกเดโมแครตมากกว่ารีพับริกันประมาณ 10% และการหยั่งเสียงล่าสุดในเดือนตุลาคมนี้ส่งสัญญาณว่า
“สตรีจะเลือกแฮร์ริสมากกว่าทรัมป์ประมาณ 12%”
อะไรคือเหตุให้สตรีเลือกแฮร์ริสและเดโมแครต?
1) สตรีอเมริกันส่วนใหญ่เลือกนโยบายเสรีนิยม
การเลือกตั้งหลายครั้งที่ผ่านมาสตรีชาวอเมริกันส่วนใหญ่สนับสนุนนโยบายเสรีนิยมประมาณ 55% ซึ่งตรงกันข้ามกับบุรุษที่เอนเอียงไปด้านอนุรักษ์นิยม 55%
ย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ของการเมืองสหรัฐฯ กฎหมายรัฐธรรมนูญให้สิทธิสตรีชาวอเมริกันลงคะแนนเสียงเลือกตั้งเป็นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1919 และน่าสังเกตคือช่วง 40 ปีหลังติดต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน คะแนนเสียงของสตรีชาวอเมริกันส่วนใหญ่ทุกครั้งได้เทให้ประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครต
บทบาทในการเลือกตั้งของสตรีชาวอเมริกันนั้นพลิกเปลี่ยนประมาณ 40 ปีที่ผ่านมา สังเกตได้ว่า
ใน 60 ปีแรกของการมีสิทธิ์ในการเลือกตั้ง สตรีไปใช้สิทธิ์น้อยกว่าบุรุษ ซึ่งอาจเนื่องจากเป็นสิ่งใหม่หรือการปรับตัวในการแสดงออกในที่สาธารณะ
แต่หลังจากปี 1980 เป็นต้นมาสตรีไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้งในอัตราส่วนเทียบเท่ากับบุรุษครั้งนั้นประธานาธิบดีเรแกนชนะคาร์ตอร์ทั่วประเทศเกือบ 10% แต่หากนับคะแนนของสตรีแล้วชนะเพียงแค่ 1% ซึ่งเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงสอดคล้องกับกฎหมายที่ให้สิทธิสตรีในการทำแท้งเมื่อปี 1973
2) Roe v. Wade กฎหมายที่ถูกเปลี่ยนในปีค.ศ. 2022 ทำให้สตรีตื่นตัวออกมาปกป้องสิทธิ
ประเด็นที่เป็นหัวใจของการขับเคลื่อนให้สตรีออกมาใช้เสียงมากเป็นอันดับหนึ่งการเลือกตั้งครั้งนี้ คือ
“ สิทธิสตรีในการตัดสินใจเรื่องสุขภาพของตนเองโดยเฉพาะเรื่องการเจริญพันธุ์” ซึ่งประเด็นนี้เป็นตัวตัดสินใจเหนือกว่าเรื่องเศรษฐกิจ เรื่องคนเข้าเมืองและประเด็นหลักอื่นๆ หลายคนกล่าวว่าหากสตรีไม่ต่อสู้ในเรื่องนี้ ณ เวลานี้ ก็อาจจะทำให้สิทธิเสรีภาพด้านอื่นๆถูกคุกคามและริดรอนย้อนกลับไปในอดีต
การถูกริดรอนสิทธิของสตรีโดยเฉพาะเรื่องการตัดสินใจต่อสุขภาพของตนเองเรื่องการเจริญพันธุ์ ซึ่งฝ่ายอนุรักษ์นิยมได้ชัยชนะในระดับศาลฎีกาของสหรัฐฯ (24 มิถุนายน 2022) ยกเลิกการคุ้มครองสิทธิ์ในการทำแท้งโดยรัฐธรรมนูญที่มีมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1973 Roe v. Wade, 410 U.S. 113 (1973) https://en.wikipedia.org/wiki/Roe_v._Wade ด้วยคะแนน 5-4 ซึ่งชัยชนะได้มาจากการที่ผู้พิพากษา 3 คนที่เอนเอียงทางอนุรักษ์นิยมได้รับการแต่งตั้งโดยขณะที่ทรัมป์เป็นประธานาธิบดี
เพราะฉะนั้นคาดว่าปี ค.ศ. 2024 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่สตรีมีโอกาสแสดงพลังโดยการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย จึงเป็นโอกาสแห่งการสนับสนุนนโยบายของแฮร์ริสและเดโมแครต(เสรีนิยม) ที่อาจจะท่วมท้นจนกลายเป็นการชนะขาดลอยก็ได้
เดโมแครตยื่นมือข้ามพรรคหาแนวร่วม
ฝ่ายเดโมแครตได้พยายามใช้เรื่องนี้เป็นประเด็นในการสื่อสารและขอความสนับสนุน ข้ามพรรคการเมืองไปยังสตรีชาวรีพับลิกัน ที่มีความคิดเปิดกว้างรับฟังเหตุผล โดยเฉพาะผู้ที่อยู่อาศัยอยู่ในชานเมืองซึ่งมักจะมีระดับการศึกษาและฐานะเศรษฐกิจและสังคมปานกลางขึ้นไป
เรื่องสิทธิสตรีเป็นเหตุให้ผู้มีชื่อเสียงหลายคนแทบทุกวงการโดยเฉพาะที่เด่นชัดคือในวงการบันเทิงต่างๆออกมาช่วยกันระดมหาเสียงสนับสนุนแฮร์ริสและอาจเป็นเหตุให้เห็นถึงการตื่นตัวอย่างมากในครั้งนี้