ฟุตบอลโลก 2022 ที่ประเทศกาตาร์ รอบชิงชนะเลิศ "ฟ้าขาว" อาร์เจนตินา พบ "ตราไก่" ฝรั่งเศส ที่สนาม ลูซาอิล ไอคอนิก สเตเดี้ยม ในวันอาทิตย์นี้ (18 ธ.ค.) เวลา 22.00 น. ตามเวลาประเทศไทย ถ่ายทอดสดทางช่อง True4U และ CH7
อาร์เจนตินา
คว้าแชมป์โลกมาแล้ว 2 สมัยเมื่อปี 1978 ที่พวกเขาเป็นเจ้าภาพ และมี ดาเนียล พาสซาเรลล่า กับ มาริโอ เคมเปส เป็นตัวชูโรง และปี 1986 ที่มี ดีเอโก้ มาราโดน่า ตำนานนักเตะหมายเลข 1 ของโลกตลอดกาลนำทัพ
นอกจากนี้ อาร์เจนตินา ยังเข้ารอบชิงชนะเลิศอีก 3 ครั้ง ในปี 1930, 1990 และ 2014 หลังจากการแพ้ครั้งสุดท้ายในปี 2014 พวกเขาก็แพ้ให้กับชิลีในรอบชิงชนะเลิศศึก โกปา อเมริกา 2 ครั้งติดต่อกันในปี 2015 และ 2016
หลังจากผลงานที่น่าผิดหวังในศึกฟุตบอลโลก 2018 ที่รัสเซีย ซึ่งพวกเขาแพ้ให้กับฝรั่งเศสในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ต่อด้วยการจบอันดับที่ 3 ในศึกโกปา อเมริกา 2019 "ลิโอเนล สกาโลนี" ก็ได้รับการแต่งตั้งให้เข้ามาเป็นกุนซือคนใหม่ และสามารถพาอาร์เจนตินาคว้าแชมป์เมเจอร์ได้เป็นครั้งแรกในรอบ 28 ปี ในศึก โกปา อเมริกา 2021 ด้วยการเอาชนะ บราซิล ในรอบชิงชนะเลิศ 1-0 และนับเป็นแชมป์แรกในนามทีมชาติของ ลิโอเนล เมสซี่ ด้วย
จากนั้น อาร์เจนตินาก็มาคว้าแชมป์อีก 1 รายการ ในศึก "ฟินาลิสซิม่า 2022" ที่เป็นการเจอกันระหว่างแชมป์ยุโรปกับแชมป์อเมริกาใต้ โดย อาร์เจนตินา ชนะ อิตาลี ขาดลอย 3-0
ฝรั่งเศส
อดีตแชมป์โลก 2 สมัยเมื่อปี 1998 และ 2018 ซึ่งนี่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2002 ที่มีทีมเข้าชิงชนะเลิศ 2 ครั้งติดต่อกัน และเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1998 ที่แชมป์เก่าได้เข้ามาป้องกันแชมป์ นอกจากนี้ ฝรั่งเศส ยังเคยผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศมาอีก 1 ครั้งเมื่อปี 2006 แต่แพ้อิตาลีในการดวลจุดโทษ
ภายใต้การคุมทัพของ ดีดิเยร์ เดส์ชองส์ ที่คว้าแชมป์โลกกับฝรั่งเศสเมื่อปี 1998 "ตราไก่" พลาดแชมป์มาแล้วหลายครั้ง ทั้งฟุตบอลโลก 2014, ยูโร 2016 และ 2020 แต่ก็มาได้แชมป์โลกเมื่อปี 2018 และจากการเป็นแชมป์เก่าจึงปฏิเสธไม่ได้ว่าพวกเขาคือหนึ่งในทีมเต็งแชมป์ครั้งนี้มาตั้งแต่ก่อนทัวร์นาเมนต์ที่กาตาร์จะเริ่มต้นขึ้น
ฝรั่งเศสยังตั้งเป้าที่จะเป็นทีมที่ 3 ในประวัติศาสตร์ที่สามารถป้องกันแชมป์โลกไว้ได้สำเร็จ ต่อจากอิตาลี (1934-1938) และ บราซิล (1958-1962) หรือเป็นทีมแรกในรอบ 60 ปีที่ป้องกันแชมป์โลกได้สำเร็จนั่นเอง
ขณะที่ ดีดิเยร์ เดส์ชองส์ กุนซือของทีม หากคว้าแชมป์ครั้งนี้ได้ก็จะทำให้เขากลายเป็นกุนซือรายที่ 2 ในประวัติศาสตร์ที่สามารถคว้าแชมป์โลกได้ถึง 2 สมัย ต่อจาก วิตตอริโอ ปอซโซ่ ที่นำทีมชาติอิตาลีคว้าแชมป์เมื่อปี 1934-1938
นอกจากนี้ เดส์ชองส์ ยังมีโอกาสเป็นคนที่ 3 ในประวัติศาสตร์ที่คว้าแชมป์โลกได้ 3 สมัยอีกด้วย ต่อจาก เปเล่ ตำนานนักเตะชาวบราซิล ที่คว้าแชมป์โลกในฐานะนักเตะทั้ง 3 ครั้ง (1958, 1962, 1970) และ มาริโอ ซากาโล่ (1958, 1962 ในฐานะผู้เล่น และ 1970 ในฐานะกุนซือ)
ศึกล้างตารอบ 4 ปี
ทั้งสองชาติจะมีโอกาสพบกันในรอบน็อกเอาต์ฟุตบอลโลกเป็นครั้งที่สองติดต่อกัน ต่อจากปี 2018 ที่ประเทศรัสเซีย ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ซึ่งครั้งนั้นเป็น ฝรั่งเศส ที่ชนะหวุดหวิด 4-3 ในเกมที่สื่อต่างประเทศยกให้เป็น "หนึ่งในเกมฟุตบอลโลกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล"
เกมนั้น อองตวน กรีซมันน์ ยิงจุดโทษให้ "ตราไก่" ออกนำ ก่อนที่ อังเคล ดิ มาเรีย และกาเบรียล เมอร์กาโด้ จะยิงคนละประตูช่วยให้ "ฟ้าขาว" แซงขึ้นนำ 2-1
จากนั้น แบ็งฌาแม็ง ปาวาร์ ก็มายิงวอลเลย์นอกกรอบตีเสมอให้ฝรั่งเศสเป็น 2-2 ซึ่งต่อมาประตูนี้ก็ได้รับการโหวตให้เป็นประตูยอดเยี่ยมของทัวร์นาเมนต์ จากนั้น คีลิยัน เอ็มบัปเป้ ก็มายิง 2 ประตูใน 5 นาที ช่วยให้ "ตราไก่" นำห่าง 4-2 ซึ่งแม้ เซร์คิโอ อเกวโร่ จะมายิงให้อาร์เจนตินาอีกลูกในช่วงทดเจ็บ แต่ก็ไล่ไม่ทัน ต้องตกรอบไปอย่างสุดช้ำ
ชมคลิป ฟุตบอลโลก 2018 ฝรั่งเศส 4-3 อาร์เจนตินา >>> คลิกที่นี่
ส่วนครั้งนี้ อาร์เจนตินา จะลบรอยแค้นครั้งนั้นได้สำเร็จ หรือจะเป็น ฝรั่งเศส ที่ย้ำแค้นได้อีกครั้ง แฟนบอลรอติดตามกันได้ในคืนวันอาทิตย์นี้