การจัดทีม "ไก่เดือยทอง" ของผู้จัดการทีม เมาริซิโอ โปเชตติโน มาในระบบ 4-2-3-1 ประกอบไปด้วย อูโก ยอริส - คีแรน ทริปเปียร์, โทบี อัลเดอร์ไวเรลด์, แยน แฟร์ทองเกน, แดนนี่ โรส - มุสซา ซิสโซโก, แฮร์รี วิงส์ - คริสเตียน อิริคเซน, เดเล อัลลี, ซน เฮือง มิน และแฮร์รี เคน ที่ฟิตลงสนามในเกมนี้
ด้าน "หงส์แดง" ของเทรนเนอร์ เจอร์เกน คลอปป์ มาในระบบ 4-3-3 ประกอบไปด้วย อลีสซง เบ็คเกอร์ - เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, โจเอล มาติป, เฟอร์กิล ฟาน ไดค์, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน - จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, ฟาบินโญ, จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม - โมฮัมเหม็ด ซาลาห์, ซาดิโอ มาเน และโรแบร์โต ฟีร์มีโน
ก่อนเกมนี้จะเริ่มขึ้นมีการแสดงพิเศษของ วง อิมเมจิน ดรากอนส์ วงดนตรีชื่อดังจากสหรัฐ
โดยเกมเริ่มมาไม่ถึง 1 นาที ลิเวอร์พูล มาได้ลูกจุดโทษจากจังหวะที่ มาเน เปิดบอลเข้าไปในกรอบเขตโทษ และไปโดนมือของซิสโซโก ซึ่งผู้ตัดสิน ดาเมียร์ สโคมินา ตัดสินใจให้จุดโทษทันที และเป็น โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ สังหารเข้าไปไม่พลาดให้ทีมออกนำอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นเป็น สเปอร์ส ที่ครองบอลได้มากกว่า แต่ยังหาจังหวะเข้าทำไม่ได้แบบถนัด ขณะที่ "หงส์แดง" ใช้บอลสวน และมีโอกาสจบสกอร์ได้มากกว่า แต่ยังทำอะไรเพิ่มไม่ได้ ทำให้จบครึ่งแรก ลิเวอร์พูล ออกนำ 1-0
เข้าสู่ครึ่งหลังยังเป็น สเปอร์ส ที่เทเกมบุกอย่างหนัก โดยหวังประตูตีเสมอ แต่ เบคเกอร์ ยังโชว์ฟอร์มซูเปอร์เซฟได้หลายต่อหลายครั้ง โดยเฉพาะโอกาสของ อิริคเซน ที่ปั่นฟรีคิกจากบริเวณกรอบเขตโทษด้ายซ้าย แต่นายด่านทีมชาติบราซิลปัดออกไปได้อย่างหวุดหวิด
และในนาทีที่ 87 โจเอล มาติป จับบอลได้ในกรอบเขตโทษ ก่อนจ่ายออกทางซ้ายให้ โอริกี กดบอลด้วยซ้ายเสียบเสาผ่านมือ ยอริส เข้าไปอย่างสวยงามให้ ลิเวอร์พูล ออกนำไป 2-0
มาถึงช่วงต่อเวลา 5 นาที ไม่มีฝ่ายใดทำอะไรกันเพิ่มได้ ทำให้จบเกม ลิเวอร์พูล เอาชนะไปได้ 2-0 คว้าแชมป์ยูซีแอลสมัยที่ 6 ของสโมสรต่อจากปี 1976-77, 1977-78, 1980-81, 1983-84, 2004-05 ขณะที่ สเปอร์ส ยังต้องอกหักด้วยการยังไม่สามารถคว้าแชมป์ยุโรปถ้วยใหญ่ได้ต่อไป