
กรณีเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน ร่วมกับ ผู้ได้รับอนุญาตจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานในอิสราเอล ภาคเกษตร กว่า 17 บริษัท พร้อมด้วยกรมการจัดหางานซึ่งเป็นผู้จัดส่งในฝ่ายรัฐ โดยนายพงศ์กวิน ได้ประชุมผ่านระบบทางไกล (Video Conference) กับนายกิตติ์ธนา ศรีสุริยะ อัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) ประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ โดยมีผู้บริหารกระทรวงแรงงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุมด้วย ณ ห้องประชุมประสงค์ รณะนันทน์ ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน
นายพงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า หลังจากกรมการจัดหางานได้ยกเลิกการชะลอการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานในรัฐอิสราเอลทุกวิธีการเดินทาง ยังมีหลายภาคส่วนมีความเป็นห่วงเรื่องความไม่ปลอดภัยหากส่งแรงงานไทยกลับไปทำงาน ในวันนี้ จึงได้หารือร่วมกับผู้ได้รับอนุญาตจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานในอิสราเอล ในภาคการก่อสร้าง ภาคอุตสาหกรรม และภาคบริการ และกรมการจัดหางานซึ่งเป็นผู้จัดส่งไปทำงานในภาคเกษตรในฝ่ายรัฐ รวมทั้ง หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ถึงมาตรการความปลอดภัยในการจัดส่งแรงงานไทยกลับไปทำงาน เพื่อซักซ้อมความร่วมมือ
ซึ่งพบว่า ขณะนี้ยังไม่มีภัยอันตรายใด ๆ อีกทั้ง ยังได้เตรียมพร้อมในมาตรการช่วยเหลือ หลายระดับจำแนกเป็น สีเขียวเป็นสถานการณ์ปกติ จะมีการเตรียมพร้อมรวบรวมข้อมูลของผู้ประสานงาน แต่ละพื้นที่เพื่อเป็นฐานข้อมูลของสำนักงาน ระดับสีเหลืองระดับเริ่มมีข่าวความไม่สงบในพื้นที่จำกัด จะมีการประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องแรงงานในพื้นที่ เตรียมพร้อมด้านเอกสารเดินทาง หรือเอกสารต่างๆ และสร้างความเข้าใจ ให้กับแรงงานในพื้นที่ ส่วนระดับสีส้ม เป็นเหตุมีความไม่สงบรุนแรง แต่ยังไม่สร้างความเสียหายกับสาธารณูปโภคในระดับนี้จะมีการติดตามสถานการณ์ในพื้นที่ และแจ้งให้แรงงานได้รับทราบ รวมถึงแจ้งเตือนผ่านเครือข่าย เช่นพี่น้องแรงงาน/ชุมชนและบริษัทจัดหางานต่างๆ ระดับสีแดงเป็นระดับสูงสุด เป็นระดับที่มีความไม่สงบรุนแรง ได้รับการโจมตีเสียหาย ในขั้นนี้จะทำการเคลื่อนย้ายแรงงานไทยโดยทำงานร่วมกันกับสถานทูตในการเคลื่อนย้ายแรงงาน โดยลำดับแรกจะใช้การเดินทางทางอากาศเป็นหลัก หากปิดน่านฟ้าจะใช้การเดินทางทางบกไปยังประเทศที่สาม เพื่อบินกลับสู่ประเทศไทยต่อไป อย่างไรก็ดี ได้ขอความร่วมมือกับบริษัทจัดหางานฯ ให้มีผู้ประสานงานหลักเพื่อแจ้งข่าวสาร และส่งต่อข้อมูลให้กับแรงงานได้ทันที
นายพงศ์กวิน กล่าวต่อว่า ยังได้รับการยืนยันว่าในอิสราเอลยังต้องการแรงงานไทย โดย ภาคก่อสร้าง มีความต้องการ 2,000 อัตรา ภาคอุตสาหกรรมยังขาดแคลนจำนวนมาก สามารถเพิ่มได้ ประมาณ 2,800 อัตรา ส่วนภาคบริการยังต้องการแรงงานไทยอีก 5,000 อัตรา รวมแล้วประมาณ 10,000 อัตรา ซึ่งนับเป็นโอกาสของแรงงานไทยในการไปทำงานที่เราจะผลักดัน ขยายตลาดต่อไป เนื่องจากค่าแรงขั้นต่ำของอิสราเอล อยู่ที่ 60,000 บาท อย่างไรก็ดี อยู่บนพื้นฐานของความปลอดภัยสูงสุด ซึ่งกระทรวงแรงงานได้เตรียมความพร้อมหากเกิดเหตุฉุกเฉินกับแรงงานไว้แล้ว พร้อมเน้นย้ำ ให้บริษัทจัดหางานฯติดต่อกับแรงงานอย่างใกล้ชิด และ ปฏิบัติตามแผนอย่างเคร่งครัด ในมาตรการความปลอดภัยอย่างเข้มงวด ด้วยเช่นกัน
ด้านนายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงแรงงาน กำหนดให้นายจ้างต้องมีแผนในการอพยพก่อนที่เกิดเหตุฉุกเฉินในทุกบริษัท เมื่อมีแผนอพยพเราถึงอนุญาตให้เดินทางไปทำงานกับนายจ้าง ซึ่งโดยปกติอิสราเอลมีระบบการเตือนภัยที่ดี และก่อนเดินทางไปทำงาน จะมีการประชาสัมพันธ์ให้แรงงานไทยดาว์โหลดแอพพลิเคชั่น SMART TOEA เปิดการติดตามตำแหน่ง เพื่อให้ทราบพิกัดของแรงงาน ซึ่งสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน ได้ทั้งจาก App Store หรือ Play Store
“หนึ่งในมาตรการสำคัญ คือ การให้แรงงานไทยในอิสราเอล ติดตั้งแอปพลิเคชัน “SMART TOEA” บนโทรศัพท์มือถือ พร้อมกด “อนุญาตให้เข้าถึงตำแหน่ง (Location)” เพื่อให้สามารถติดตามพิกัดของแรงงานได้แบบเรียลไทม์ (Real-time) ซึ่งจะช่วยให้ทีมช่วยเหลือสามารถให้การดูแลหรืออพยพได้ทันท่วงทีในสถานการณ์ฉุกเฉิน” นายบุญสงค์ กล่าวปิดท้าย