
นอกจากโรคหวัดหรือโรคทางเดินหายใจแล้ว “โรคไข้เลือดออก” ยังคงเป็นภัยเงียบที่คุกคามเด็กไทยอย่างต่อเนื่อง กรมการแพทย์ โดยสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี ออกมาเน้นย้ำให้ผู้ปกครองเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด เนื่องจากช่วงนี้เป็นช่วงที่ยุงลายแพร่พันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในบ้าน โรงเรียน และชุมชนที่มีแหล่งน้ำขัง เด็กเล็กและเด็กวัยเรียนถือเป็นกลุ่มเสี่ยงสูง เพราะภูมิคุ้มกันยังพัฒนาไม่สมบูรณ์ หากติดเชื้ออาจมีอาการรุนแรงและเกิดภาวะแทรกซ้อนถึงขั้นอันตรายต่อชีวิตได้
นายแพทย์ธนินทร์ เวชชาภินันท์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ อธิบายว่า โรคไข้เลือดออกเกิดจากเชื้อไวรัสเดงกี ซึ่งติดต่อผ่านยุงลายที่มักกัดในเวลากลางวัน เด็กที่ติดเชื้อมักมีอาการไข้สูงเฉียบพลันต่อเนื่องนาน 2–7 วัน ร่วมกับอาการปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดกระบอกตา เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีผื่นแดงและจุดเลือดออกตามผิวหนัง อาการเหล่านี้อาจคล้ายกับไข้หวัดทั่วไป ทำให้หลายครอบครัวเข้าใจผิดและเลือกซื้อยาลดไข้มารับประทานเอง
อย่างไรก็ตาม การใช้ยาบางชนิดโดยไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์ อาจยิ่งเพิ่มความเสี่ยง โดยเฉพาะยากลุ่มแอสไพรินและไอบูโพรเฟน ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะเลือดออกมากขึ้น แพทย์จึงย้ำว่า หากเด็กมีไข้สูงไม่ทราบสาเหตุนานเกิน 2 วัน ควรรีบพาไปพบแพทย์ทันที เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและดูแลอย่างถูกต้องตั้งแต่ระยะเริ่มต้น
ด้านนายแพทย์อาคม ชัยวีระวัฒนะ ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี ระบุว่า การป้องกันโรคไข้เลือดออกเป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ยาก แต่ต้องทำอย่างสม่ำเสมอและจริงจัง โดยเน้นมาตรการ “3 เก็บ ป้องกัน 3 โรค” ได้แก่
นอกจากนี้ ควรตรวจภาชนะที่มีน้ำขังทุกสัปดาห์ เช่น ถังน้ำ แจกัน ถ้วยรองกระถางต้นไม้ และอาจปล่อยปลากินลูกน้ำในบ่อน้ำ เพื่อช่วยควบคุมจำนวนยุงลายตามธรรมชาติ
ความร่วมมือระหว่างครอบครัว โรงเรียน และชุมชน ถือเป็นหัวใจสำคัญในการลดการระบาดของโรคไข้เลือดออกให้ได้อย่างยั่งยืน เพราะหากพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งละเลย ยุงลายก็สามารถแพร่กระจายและนำเชื้อกลับมาสู่เด็ก ๆ ได้อีก
ขณะที่แพทย์หญิงประอร สุประดิษฐ ณ อยุธยา นายแพทย์เชี่ยวชาญด้านไข้เลือดออก เตือนผู้ปกครองให้สังเกตอาการอันตรายที่อาจบ่งชี้ว่าโรคกำลังเข้าสู่ระยะรุนแรง ได้แก่ ปวดท้องอย่างรุนแรง อาเจียนบ่อย มือเท้าเย็น เหงื่อออกมาก กระสับกระส่าย หรือมีจุดเลือดออกตามร่างกาย หากพบอาการเหล่านี้ ต้องรีบนำเด็กส่งโรงพยาบาลทันที เพราะอาจเข้าสู่ภาวะช็อกจากการรั่วของพลาสมา ซึ่งแพทย์จำเป็นต้องดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
ท้ายที่สุด ผู้เชี่ยวชาญย้ำตรงกันว่า “การรู้เท่าทันโรคและการป้องกันตั้งแต่ต้น” คือเกราะป้องกันที่ดีที่สุดสำหรับเด็กทุกคน การสังเกตอาการอย่างใส่ใจ ไม่ประมาทกับไข้ที่ดูเหมือนไม่รุนแรง และร่วมกันกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายอย่างจริงจัง จะช่วยลดความสูญเสียจากโรคไข้เลือดออกได้อย่างมีประสิทธิภาพ และทำให้ฤดูฝนเป็นช่วงเวลาที่ปลอดภัยสำหรับเด็กไทยมากขึ้น