
นับหนึ่ง อนุทิน นายกฯเฉพาะกิจเพื่อยุบสภาฯ ดึง บวรศักดิ์ กูรูกฎหมายรับภารกิจออกแบบรัฐธรรมนูญใหม่ ตามที่มีการปิดดีลกับสีส้ม
การเมืองไทยยังหนีไม่พ้น เกมอำนาจใต้เงารัฐพันลึก อนุทินกลายเป็นผู้ทำดีลหน้าใหม่กับชนชั้นนำ แทนทักษิณและเพื่อไทย
อะไรก็เกิดขึ้นได้ คำพูดประโยคนี้ยังใช้ได้กับการเมืองไทย ซึ่ง อนุทิน ชาญวีรกูล จะต้องถูกบันทึกไว้ในฐานะนายกรัฐมนตรี คนที่ 32 และเป็นผู้นำรัฐบาลเสียงข้างน้อย
เนื่องจากพรรคประชาชน มีมติเห็นชอบโหวตอนุทิน เป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อแลกกับการยุบสภาฯเลือกตั้งใหม่ภายใน 4 เดือน
มีนักสังเกตการณ์ทางการเมืองเปรียบเทียบรัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูล กับรัฐบาลอานันท์ ปันยารชุน (หลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535) ซึ่งต่างก็เป็นรัฐบาลเฉพาะกิจเพื่อการยุบสภา
พรรคภูมิใจไทยเป็นพรรคแกนนำรัฐบาลเสียงข้างน้อย 146 เสียง มีเวลาในการทำงาน 4 เดือน นับจากวันแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา โดยการแก้รัฐธรรมนูญฉบับที่แก้ไขได้ยากที่สุด เป็นโจทย์หินของค่ายสีน้ำเงิน
ดังนั้น “อนุทิน” จึงได้ทาบทาม บวรศักดิ์ อุวรรณโณ มารับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี เพื่อดูแลด้านกฎหมาย และการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
บวรศักดิ์ได้รับการยอมรับจากสื่อมวลชนว่า เป็นนักกฎหมายมหาชนชั้นครู และเคยเป็นรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมืองในสมัยรัฐบาลชาติชาย
น้ำเงิน-ผู้ทำดีลหน้าใหม่
ดร.เพตรา แอลเดอร์แมน ผู้เชี่ยวชาญด้านการเมืองในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์และรัฐศาสตร์แห่งลอนดอน ได้ให้สัมภาษณ์บีบีซีไทย เกี่ยวกับการเมืองไทยหลายประเด็น
นักวิชาการชาวอังกฤษวิเคราะห์ตัวตนของ “ทักษิณ” กับ“อนุทิน” ไม่ได้แตกต่างกัน นั่นคือเป็นพวกปฏิบัตินิยม (pragmatism) ที่เน้นการปฏิบัติและผลลัพธ์ เพื่อให้ได้มาซึ่งการมีอำนาจและรักษาอำนาจ
2 ปีที่แล้ว ทักษิณได้ “ตั๋วพิเศษ” ให้เป็นผู้ทำดีล เพื่อต่อสู้กับพลพรรคสีส้ม แลกกับการเดินทางกลับไทย และผ่านมาถึงวันนี้ “ชนชั้นนำ” กลับมองเห็นว่า อนุทินเหมาะกับการเป็นผู้ทำดีลหน้าใหม่
ดั่งที่ ดร.เพตรา เรียกอนุทินว่า “the new deal maker” หรือผู้ทำดีลหน้าใหม่กับสถาบันดั้งเดิม (establishment)
“การที่พรรคภูมิใจไทยได้อำนาจ อาจหมายความว่าพวกเขาอาจเป็นผู้ควบคุมร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งก็อย่างที่รู้กันว่ามันอาจไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับพรรคประชาชน” ดร.เพตรา กล่าวกับบีบีซีไทย
เชื่อว่าการบ้านข้อใหญ่ที่อนุทินได้รับจากชนชั้นนำคือ เนื้อหาของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จะยังคงไว้ในสาระสำคัญของรัฐธรรมนูญฉบับเดิมที่เป็นคุณกับกลุ่มอนุรักษนิยม
อนุทินจึงต้องเรียกใช้บริการมือกฎหมาย บวรศักดิ์ อุวรรณโณ อดีตประธานคณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ มารับภารกิจนี้
อย่างไรก็ตาม หลังรัฐประหาร 2557 คสช.แต่งตั้งบวรศักดิ์เป็นประธานคณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ ก่อนจะร่างรัฐธรรมนูญฉบับบวรศักดิ์ จะถูกฉีกทิ้ง โดยสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) ลงมติโหวตคว่ำ ตามใบสั่ง 3 ป.
ธาตุแท้รัฐบาลนักเลือกตั้ง
จะว่าไปแล้ว รัฐบาลเฉพาะกิจเพื่อการยุบสภา ระหว่างนายกฯอนุทิน กับนายกฯอานันท์ มีข้อเหมือนและข้อที่แตกต่างกัน
รัฐบาลอนุทิน เป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย ที่มาจากหลายพรรคหลายกลุ่มก๊วน ฉะนั้น รายชื่อคณะรัฐมนตรี จึงมีส่วนผสมของ “เทคโนแครต” กับ “นักเลือกตั้ง” ในสัดส่วนที่ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่รู้สึกผิดหวัง
ต่างจากรัฐบาลอานันท์ ที่มีคณะรัฐมนตรีมาจากเทคโนแครต และอดีตข้าราชการชั้นใหญ่ โดยไม่มีนักเลือกตั้งเข้ามาสอดแทรก
เวลานี้ ในรัฐบาล “อนุทิน 1” มีรัฐมนตรีที่มาจากเทคโนแครต 5 คนคือ บวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี ,สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีต่างประเทศ เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รัฐมนตรีคลัง, อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีพลังงาน และวรภัค ธันยาวงษ์ รัฐมนตรีช่วยคลัง
ที่เหลือเก้าอี้รัฐมนตรียังเป็นโควตาของ “นักเลือกตั้ง” ตามสูตรรัฐบาลผสม พรรคภูมิใจไทย12 เก้าอี้ พรรคกล้าธรรม 7 เก้าอี้ และพรรคพลังประชารัฐ 4 เก้าอี้
นอกจากนั้น ก็เป็นรัฐมนตรีที่มาจากสัดส่วนกลุ่มการเมือง อย่างกลุ่มสุชาติ ชมกลิ่น (พรรครวมไทยสร้างชาติ), กลุ่มศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์(พรรคเพื่อไทย) และกลุ่มนิพนธ์ บุญญามณี(พรรคประชาธิปัตย์)
ดังนั้น เส้นทางอนุทิน ในฐานะนายกรัฐมนตรี ผู้ถือตั๋วพิเศษ หรือผู้ทำดีลหน้าใหม่ จะต้องเร่งแก้โจทย์ยากเรื่องแก้รัฐธรรมนูญให้จบภายใน 4 เดือน หากเดินเกมยื้อก็สุ่มเสี่ยงจะถูกฝ่ายค้าน(แดง-ส้ม)โหวตคว่ำกลางสภาฯ