
5 ธันวาคม 2568 การเลือกตั้งเมียนมาที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 28 ธันวาคม 2025 นี้ เป็นมากกว่าเหตุการณ์ภายในประเทศเพื่อนบ้าน เพราะผลลัพธ์ของมันจะเกี่ยวพันกับ “ความมั่นคงไทย” แบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงบประมาณรัฐ อาชญากรรมข้ามชาติ กองกำลังติดอาวุธ หรือความปลอดภัยของผู้คนในพื้นที่ชายแดน
บทความโดย โครงการกิจการความมั่นคงชายแดนศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้สรุป 3 เหตุผลใหญ่ และ 5 ข้อเท็จจริงสำคัญ ที่คนไทยต้องรู้เกี่ยวกับการเลือกตั้งครั้งนี้
1. ไทยต้องแบกรับค่าใช้จ่ายจากผลกระทบสงครามเมียนมากว่า 300 ล้านบาทต่อปี
สงครามยืดเยื้อทำให้ผู้หนีภัยหลั่งไหลเข้ามาตามแนวชายแดน โดยข้อมูลของ UN และหน่วยงานความมั่นคงไทยระบุว่า ประเทศไทยต้องใช้งบประมาณไม่น้อยกว่า 300–500 ล้านบาทต่อปี เพื่อดูแลด้านมนุษยธรรม เช่น การแพทย์ อาหาร ที่พักฉุกเฉิน และการประสานงานด้านความปลอดภัยในพื้นที่ชายแดน
กระแสผู้หนีภัยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ หลังการรบในรัฐกะเหรี่ยง คะเรนนี และรัฐฉานรุนแรงขึ้นในช่วงปี 2023–2025 ไทยจึงต้องเตรียมงบประมาณและกำลังเจ้าหน้าที่มากกว่าเดิม
2. เมียนมาคือแหล่งกำเนิดอาชญากรรมข้ามชาติที่กระทบไทยโดยตรง
พื้นที่ไร้รัฐจากสงครามกลายเป็นแหล่งเติบโตของหลายธุรกิจผิดกฎหมาย ได้แก่
• ยาเสพติดจากรัฐฉานตอนเหนือ ซึ่งยังเป็นแหล่งผลิตหลักของภูมิภาค
• ฐานสแกมเมอร์ข้ามชาติ ในเมียวดี รัฐคะฉิ่น และเขตภายใต้กลุ่มชาติพันธุ์ เช่น UWSA และ Kokang
แรงงานไทยจำนวนมากถูกหลอกไปทำงานสแกมในฝั่งเมียนมา ขณะที่มูลค่าความเสียหายจากอาชญากรรมไซเบอร์กระทบประชาชนไทยอย่างต่อเนื่องทุกปี
3. การรบชายแดนกระทบความปลอดภัยของไทยทันที
เหตุยิงปืนข้ามแดน การรุกล้ำพื้นที่ไทยของกำลังติดอาวุธ และกระสุนปืนใหญ่ตกในหมู่บ้านฝั่งไทยเกิดขึ้นหลายครั้งในรอบสองปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในแม่สอด สบเมย และพบพระ ซึ่งมีความเสี่ยงสูงว่าหากการเลือกตั้งไม่ได้ช่วยลดความขัดแย้ง ไทยจะต้องเผชิญเหตุการณ์ลักษณะนี้ต่อไปหรือรุนแรงกว่าเดิม
1. ไม่ใช่การเลือกตั้งทั่วประเทศ แต่เลือกเฉพาะพื้นที่ที่ “ไม่มีการสู้รบเท่านั้น”
เมียนมายังมีการรบในกว่า 50–60% ของพื้นที่ประเทศ ทำให้เปิดคูหาได้เพียงบางเขต ที่กองทัพพม่าควบคุมได้อย่างมั่นคง คาดว่ามีประชาชนเพียง ไม่ถึง 20% ที่สามารถไปใช้สิทธิ์ได้จริง
พื้นที่ที่ควบคุมโดยฝ่ายต่อต้าน เช่น รัฐกะเหรี่ยง รัฐคะเรนนี รัฐฉาน และส่วนใหญ่ของภาคซะไกง์ จะไม่มีการเลือกตั้งเลย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ติดชายแดนไทย
2. พรรคชาติพันธุ์และฝ่ายต่อต้านถูกกันออกจากการเลือกตั้งเกือบทั้งหมด
คณะกรรมการการเลือกตั้งที่แต่งตั้งโดยรัฐบาลทหาร ได้จำกัดสิทธิ์ของพรรคการเมืองหลายกลุ่ม โดยเฉพาะพรรคชนกลุ่มชาติพันธุ์ และพรรคที่เคยสนับสนุนรัฐบาลพลเรือน ทำให้พรรคที่ลงแข่งขันได้จริงมีเพียงพรรคที่ใกล้ชิดกองทัพ เช่น USDP หรือพรรคที่จัดตั้งใหม่โดยเครือข่ายสนับสนุน
การหาเสียงยังถูกควบคุมอย่างเข้มงวด สื่อและการชุมนุมทางการเมืองถูกจำกัดอย่างมาก
3. นานาชาติส่วนใหญ่ไม่รับรองผลการเลือกตั้ง
ประเทศตะวันตก เช่น สหรัฐ แคนาดา สหภาพยุโรป รวมถึงองค์การระหว่างประเทศหลายแห่งประกาศมีท่าทีชัดเจนว่าจะไม่รับรองผลการเลือกตั้ง เนื่องจากขาดความโปร่งใสและมีข้อจำกัดด้านสิทธิมนุษยชน
ประเทศที่มีท่าทีสนับสนุนมากกว่า ได้แก่ จีน อินเดีย และรัสเซีย โดยมีเหตุผลด้านความมั่นคงและผลประโยชน์ยุทธศาสตร์ในภูมิภาค
4. การเลือกตั้งเกิดขึ้นท่ามกลางวิกฤตมนุษยธรรมครั้งใหญ่
ฉันทามติ 5 ข้อของอาเซียนยังไม่ถูกปฏิบัติจริง ขณะเดียวกัน
• ผู้พลัดถิ่นภายในประเทศมากกว่า 3.1 ล้านคน
• เกิดเหตุโจมตีพลเรือน โรงเรียน และโรงพยาบาลมากกว่า 1,000 ครั้งต่อปี
• หลายพื้นที่ยังคงถูกตัดขาดจากความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม
สถานการณ์นี้ทำให้การเลือกตั้งไม่สามารถสะท้อนเสียงของประชาชนส่วนใหญ่ได้จริง
5. ทุกอย่างยังอยู่ภายใต้ “รัฐธรรมนูญปี 2008” ที่ให้กองทัพถืออำนาจ 25% ในสภา
แม้จะเลือกตั้ง แต่กองทัพยังคงควบคุม
• 25% ของที่นั่งในรัฐสภา
• 3 กระทรวงหลัก ได้แก่ กลาโหม มหาดไทย และกิจการชายแดน
• อำนาจคัดเลือกประธานาธิบดีผ่านระบบสภาที่ทหารกำกับทิศทางได้
โครงสร้างดังกล่าวเป็นหนึ่งในต้นตอของความขัดแย้งตั้งแต่ปี 2010 และยังคงเป็นอุปสรรคต่อการสร้างสันติภาพ
กล่าวโดยสรุป ไทยจะได้รับผลกระทบมากที่สุด หากการเลือกตั้งไม่ช่วยลดความขัดแย้ง หากการเลือกตั้ง 28 ธันวาคม ไม่สามารถนำไปสู่การปรับลดความรุนแรง หรือการเจรจาทางการเมือง ความตึงเครียดจะเพิ่มขึ้น ไทยจึงอาจต้องเผชิญ
• ผู้หนีภัยเพิ่มจำนวนมาก
• การรบชายแดนถี่ขึ้น
• ปัญหายาเสพติดและสแกมเมอร์รุนแรงกว่าเดิม
• ภาระงบประมาณรัฐสูงขึ้นต่อเนื่อง
คนไทยจึงต้องจับตาใกล้ชิด เพราะอนาคตความมั่นคงของเมียนมาในปี 2025 จะเชื่อมโยงกับความมั่นคงของไทยอย่างแยกไม่ออก