
2 ธันวาคม 2568 ที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล หรือ “บิ๊กโจ๊ก” อดีตรอง ผบ.ตร.เดินทางเข้ากองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) เพื่อพบพนักงานสอบสวน พร้อมประกาศจุดยืนชัดเจนว่า “ยังอยู่ในพื้นที่ ไม่ได้หลบหนี” และมาเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ หลังมีข้อมูลว่ามีการร้องทุกข์กล่าวโทษตน ในความผิดฐานหมิ่นประมาทสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เผยว่า เช้าวันเดียวกันทราบว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. มอบหมายให้ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ รอง จตช. เข้าแจ้งความเอาผิดตน แต่ยืนยันว่า “ยังไม่มีหมายเรียก ยังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหาแม้แต่ข้อหาเดียว” การเดินทางมาที่ บก.ป. จึงเป็นการมาปรากฏตัวอย่างเปิดเผย ยืนยันว่า ยินดีเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม พร้อมต่อสู้คดีทุกประเด็น
และคดีนี้เป็นลักษณะ “แจ้งความเพื่อปิดปาก” เพราะตนเพียงแสดงความเห็นโดยอ้างอิงข้อมูลที่มีอยู่จริง และเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ พร้อมย้ำถ้อยคำที่เป็นกระแสว่า “ตำรวจคือองค์กรอาชญากรรมที่ใหญ่ที่สุด” ซึ่งมาจากข้อเท็จจริงที่ปรากฏแล้วว่า มีตำรวจจำนวนมากเข้าไปเกี่ยวพันกับส่วยเว็บพนัน ทั้งระดับนายตำรวจ 30 กว่าราย รวมถึงกลุ่ม 200 กว่ารายที่ถูกเปิดเผย และมีชื่อระดับ ผบ.ตร. อยู่ในนั้น
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ชี้ว่า หากย้อนกลับไปดูคลิปเมื่อวันที่ 31 ต.ค. ที่ผ่านมาในรายการหนึ่ง จะเห็นว่าตนไม่ได้เอ่ยพาดพิงสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นการเฉพาะ แต่สะท้อนปัญหาเชิงระบบ ที่ประชาชนรับรู้มานาน พร้อมท้วงติง ผบ.ตร. ว่า ควรตรวจสอบข้อเท็จจริงให้รอบด้านก่อนฟ้องร้อง เพราะข้อกล่าวหานี้ อาจย้อนกลับไปสู่ผู้กล่าวหาเอง พร้อมตั้งคำถามว่า เหตุใดจึงไม่ไปแจ้งความเอาผิดตำรวจบางนายที่แสดงความเห็นแรงกว่าตน
พร้อม ยังย้ำว่า สาเหตุที่ถูกเล่นงานเพราะ “เป็นตัวจี๊ด รู้ข้อมูลมากที่สุด” พร้อมประกาศว่าจะเปิดเผยข้อมูลทุกอย่างตามลำดับในเร็ว ๆ นี้
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวด้วยว่า หากมีหมายเรียก เขาจะมาทันที เพราะคดีนี้ไม่มีสิทธิคุมตัวหรือออกหมายจับ เนื่องจากอัตราโทษไม่เกิน 3 ปี “เต็มที่คือหมายเรียก” แต่ขอสิทธิรับรู้ข้อกล่าวหาก่อนให้ปากคำ พร้อมเผยว่าตนได้ประสานผู้บังคับการกองปราบแล้วว่าจะเข้าพบในวันใดบ้าง
เจ้าตัวเหน็บถึงตำรวจบางนาย ที่เคยระบุว่า หาก ป.ป.ช. ชี้มูลความผิด เขาจะหลบหนีว่า “คนที่จะหนีไม่ใช่ผม” พร้อมระบุว่า รู้ข้อมูล “พิกัดบ้านที่อังกฤษ” ของบุคคลสำคัญบางราย และเชื่อว่า “ความจริงจะค่อย ๆ โผล่ขึ้นมาเอง”
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังเปิดเผยว่า ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาแม้จะเงียบ แต่เป็นช่วงเวลาที่ใช้เก็บข้อมูลอย่างละเอียด “เหมือนนักมวยซ้อมทุกวัน วันนี้ถึงเวลาชกจริงแล้ว” ขณะเดียวกันยืนยันว่า มีข้อมูลเกี่ยวกับพนักงานสอบสวนรายใดทำถูก ทำผิด และเตรียม “รวมยอดเปิดข้อมูลครั้งใหญ่” ภายในสัปดาห์หน้า
ในส่วนกระแสว่า การปรากฏตัววันนี้เหมือนเป็นการ “เหยียบถิ่น” ของผู้ที่เคยกล่าวหาว่า ตนจะหลบหนีออกนอกประเทศ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า บุคคลเหล่านั้นก็เพียงทำหน้าที่ตอบแทนบุญคุณผู้มีพระคุณของตนเอง ไม่ว่าจะถูกหรือผิด เพราะได้รับ “ตั๋วช้าง” มาแล้ว พร้อมย้ำว่า การต่อสู้ทั้งหมดนี้ต้องยืนอยู่บนหลักกฎหมาย ส่วนความขัดแย้งส่วนบุคคลให้ไว้ทีหลัง
เขายังกล่าวถึงปัญหาเว็บพนัน-สแกมเมอร์ว่า เป็นเพียง “ลิเกโรงหนึ่ง” เพราะไม่มีมาตรการแก้ปัญหาเป็นรูปธรรม ทั้งนายกรัฐมนตรี และ ผบ.ตร. จึงไม่สามารถจัดการปัญหานี้ได้จริง ขณะที่เรื่องส่วยตำรวจ ก็ยังถูกตำรวจร้องเรียนจากทั่วประเทศแต่ไม่ได้รับการแก้ไข
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ระบุว่า หลังจากแสดงตัวที่ บก.ป. แล้ว จะเดินทางต่อไปยังศาลปกครอง และศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อดำเนินการตามกระบวนการต่าง ๆ ก่อนจะลงพื้นที่ภาคใต้ในช่วงค่ำ เพื่อช่วยเหลือประชาชน พร้อมย้ำในตอนท้ายว่า “ไม่ได้หนี และพร้อมเข้าสู่กระบวนการทุกขั้นตอน”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลัง "บิ๊กโจ๊ก" ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนที่บริเวณก่อสร้าง เพิ่มพื้นที่จอดรถ ด้านหน้า ศูนย์รับแจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ขณะจะเดินขึ้นไปพบพนักงานสอบสวน กก.1 บก.ป. ได้เดินย้อนกลับไปหาตำรวจ ที่มาคอยรักษาความสงบภายในพื้นที่กองราชการ ซึ่งยังยืนถือกล้องวีดิโอขนาดเล็กอยู่ โดยบิ๊กโจ๊ก ได้สอบถามว่า ทำไมเอากล้องมาถ่ายตนขณะให้สัมภาษณ์สื่อฯ และยังถามอีกว่ารู้ไหมว่ามีกฎหมาย พ.ร.บ.ข้อมูลส่วนบุคคลรวมทั้ง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ฯ การที่จะมายกกล้องถ่ายใครจะต้องแจ้งให้เขารับรู้รับทราบ ได้รับอนุญาตก่อนด้วย ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจนายนั้นได้แต่ยืนยิ้มไม่ตอบอะไร
ต่อมาเวลา 11.45 น. หลังพบพนักงานสอบสวน กก.1 บก.ป. บิ๊กโจ๊ก ก่อนเดินทางกลับ เพื่อที่จะไปยังศาลรัฐธรรมนูญต่อได้เปิดเผยว่า ทางพนักงานสอบสวนกองปราบฯ ได้สอบถามตนว่า วันนี้ที่มากองปราบฯ มีความประสงค์ที่จะพบพนักงานสอบสวนหรือไม่ หรือมาเพียงแค่ลงประจำวันว่า ตนเองยังอยู่ในพื้นที่ กทม. เท่านั้น ซึ่งตนได้แจ้งตำรวจว่า มีความประสงค์ที่จะพบพนักงานสอบสวน เพื่อต้องการรู้ว่าประเด็นที่ตนถูก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แจ้งความดำเนินคดีฟ้องร้องนั้นประเด็นใดบ้าง ซึ่งได้รับทราบจากพนักงานสอบสวนของกองปราบฯ ว่า มีแค่ความผิดฐานหมิ่นประมาทเท่านั้น ส่วนสื่อที่ร่วมสัมภาษณ์ตน ทางสำนักงานแห่งชาติไม่เอาผิดแต่อย่างใด ตนจึงรับทราบข้อกล่าวหา และให้การปฏิเสธข้อหาดังกล่าว