svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

 "ดร.ณัฎฐ์" ผ่าปม เกม"อนุทิน" ชิงยุบสภา เตือน รัฐบาลเสียงข้างน้อย อาจเกมพลิก

"ดร.ณัฎฐ์" ชี้ หาก นายกฯอนุทิน ชิงยุบสภา หากพลาด ทำให้เกมพลิก จาก “ยุบสภา” เปลี่ยน “นายกรัฐมนตรีคนใหม่” หากชิงยุบ ทำให้แก้รัฐธรรมนูญ ตกเป็นหมัน

 23 พฤศจิกายน 2568 สืบเนื่องจากนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีได้ออกมาโต้ตอบทางการเมืองในเชิง หากฝ่ายค้านอย่างพรรคเพื่อไทยไม่รอ แต่ญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 151 นายอนุทินฯจะยุบสภาในวันที่ 12 ธ.ค.2568 นั้น ทำให้เกิดข้อถกเถียงเป็นวงกว้าง

ล่าสุด “ดร.ณัฏฐ์” หรือ ดร.ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม นักกฎหมายมหาชน ได้ให้ความเห็นเพื่อประโยชน์สาธารณะและกล่าวว่า กลไกลอำนาจในการ “ยุบสภา” เป็นอำนาจฝ่ายบริหารในระบบรัฐสภา และเป็นดุลพินิจของนายกรัฐมนตรี จะต้องตราเป็นพระราชกฤษฎีกายุบสภาเสนอต่อพระมหากษัตริย์ เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 103 วรรคหนึ่ง

ส่วนกระบวนการ “แก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ” มาตรา 256 เป็นอำนาจฝ่ายนิติบัญญัติ ทั้งสองสภา จะต้องพิจารณาประชุมร่วมกัน ซึ่งผ่านวาระหนี่ง อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของ กมธ.ของแต่ละฝ่าย เพื่อพิจารณา ปรับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เหลือเพียงร่างเดียว เพื่อนำเข้าสู่การพิจารณาในวาระที่ 2  ถือว่าเป็นคนละส่วนกัน และแยกอำนาจจากกันในระบบรัฐสภา 

แต่ผลกระทบทางกฎหมาย เมื่อนายอนุทินฯนายกรัฐมนตรีใช้อำนาจในการชิงยุบสภา โดยอยู่ระหว่างการพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ยังไม่ผ่านฝ่ายนิติบัญญัติ ในวาระที่ 3 ร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่ยังค้างการพิจารณาอยู่ย่อมตกไปโดยปริยาย 

พูดภาษาชาวบ้าน คือ  การยุบสภา ทำให้สภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลง ทำให้ไม่มี สส.อีกต่อไปมีแต่ สว.ที่ยังคงอยู่ในวาระ 5 ปี ทำให้ สว.ที่มีอยู่ ไม่มีอำนาจพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญต่อไปได้ เพราะ สว.มิใช่สภานิติบัญญัติ ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับพรรคประชาชน-พรรคภูมิใจไทย ที่ผ่านวาระ 1 ย่อมตกเป็นหมัน

เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะการประชุมร่วมทั้งสองสภา ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 156 (15) บัญญัติเป็นบทบังคับเด็ดขาด ให้การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 ต้องกระทำร่วมกันทั้งสองสภา อธิบายความว่า จะขาดสภาใด สภาหนึ่งไม่ได้ เพราะองค์ประกอบในการประชุมร่วมทั้งสองสภา คือ สส.และ สว. ดังนั้น เมื่อรัฐบาลเสียงข้างน้อยชิงยุบสภา ย่อมส่งผลกระทบกระเทือนโดยตรงให้การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในฝันที่ยังค้างอยู่ ทำให้ร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญย่อมตกไป

พูดภาษาชาวบ้าน คือ นโยบายแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคก้าวไกลหรือพรรคประชาชน และพรรคเพื่อไทย รวมถึง MOA ระหว่างพรรคประชาชนกับพรรคภูมิใจไทย ที่แลกโหวตเลือก นายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรี ไปไม่ถึงฝันและตกเป็นหมันทันที ทำให้คะแนนรัฐบาลเสียงข้างน้อยได้แลกโหวตมา “ฟรี”

ในมิติทางการเมือง เกมการเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีรายบุคคลหรือทั้งคณะก็ตาม คาดว่า ข้อมูลรั่วหรือว่ารัฐบาลอ่านเกมคาดคะเนว่า ฝ่ายค้านจะหยิบประเด็นใดน็อครัฐบาล 

หากพิจารณาขั้นตอนการนำเสนอญัตติถึงเสียง สส.ที่พรรคเพื่อไทยมีอยู่ เกินกว่าหนึ่งในห้าของ สส.ทั้งหมดที่มีอยู่ในสภา ย่อมเข้าชื่อนำเสนอญัตติต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรได้ แม้พรรคประชาชน ฝ่ายค้ำ เล่นเกมสองหน้า ขอดูข้อมูลก่อนก็ตาม แต่ผลแห่งการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ เป็นการเปิดแผลรัฐบาลอนุทิน รัฐบาลเสียงข้างน้อย ย่อมเสียเปรียบทุกช่องทางในการแพ้โหวตในสภา เพราะในรัฐธรรมนูญมาตรา 151 วรรคสี่ กรณี มติไม่ไว้วางใจต้องมีคะแนนเสียง “มากกว่ากึงหนึ่ง” ของจำนวน สส.ทั้งหมดเทาที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร

พูดภาษาชาวบ้าน คือ เป็นเกมเสี่ยง คุมเสียงพรรคประชาชนไม่ได้ หากพรรคเพื่อไทยฝ่ายค้าน ยื่นญัตติเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ เป็นเกมล้มรัฐบาล จึงหยิบประเด็นขู่ชิงยุบสภาก่อน 4 เดือนตาม MOA

เหตุที่เป็นเช่นนี้ หากฝ่ายค้านได้เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ ผลทางกฎหมาย ออกสองช่องทาง บวกหรือลบ ส่วนลบจะทำให้เกมพลิก เพราะจะมีการเสนอนายกรัฐมนตรีคนใหม่มาแทน เพราะอายุสภาผู้แทนราษฎร อยู่ถึง วันที่ 14 พฤษภาคม 2570  อีก 1 ปีกว่า แทนที่จะได้ยุบสภาตามกำหนดเวลา ทำให้เกมชิงนายอนุทินฯชิงยุบสภาเกิดขึ้น เป็นเกมขู่ให้เกิดอำนาจต่อรองทางการเมืองและพ้นจากการตรวจสอบ 

หากชิง “ยุบสภา” จริง ทำให้ร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ สูตร กมธ.ยกร่าง 20 หยิบ 1 ของพรรคประชาชน ย่อมตกไป 

หากเกมเชือดของเพื่อไทยในการนำเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจเกิดขึ้นจริง เมื่อบรรจุญัตติแล้ว ถือเป็นการนำเสนอญัตติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 151 วรรคสอง นายอนุทินฯชิงยุบสภาไม่ได้ 

แต่วาทกรรมทางการเมือง เข้าสุภาษิต “ทำไม่ดี โทษปี่ โทษกลอง” ถูกหยิบมาใช้ ถูกนำมาใช้ในเวทีการหาเสียงเลือกตั้งปี 2569 ที่พรรคเพื่อไทยยื่นอภิรายไม่ไว้วางใจ โดยนำมาทำลายทางการเมืองที่ว่า “แก้รัฐธรรมนูญตามนโยบายที่หาเสียงไว้ไม่ได้ เพราะพรรคเพื่อไทย เป็นผู้ทำให้เกมแก้ไขรัฐธรรมนูญล่ม ทำให้ย้อนในอดีตในรัฐบาลแพทองธาร จากเดิม ฉายา “ภูมิใจขวาง” มาเป็น “เพื่อไทยหักมุม” จึงเป็นเกมอำนาจต่อรองทางการเมืองล้วนๆ ระหว่างฝ่ายรัฐบาล ชิงยุบสภา กับ ฝ่ายค้านยื่นตรวจสอบ เป็นเกมคนละหมัดกัน เท่านั้น 

กลไกการเมืองสามก๊กแย่งชิงอำนาจ ระหว่างก๊กการเมือง สามสี ได้แก่ สีแดง สีน้ำเงิน สีส้ม จึงคิดการณ์ใหญ่เพื่อให้เกมอำนาจเหนือสองสีและจัดตั้งรัฐบาลผสม เพื่อช่วงชิงอำนาจ รวบรวมคะแนนให้พรรคภูมิใจไทย ได้เสียงอันดับหนึ่งเพื่อจัดตั้งรัฐบาล พี่น้องประชาชนจึงไม่ต้องแปลกใจ “นโยบายคนละครึ่ง” นำเงินภาษีของพี่น้องประชาชนมาแจก เป็นการแก้ปัญหาระยะสั้นและไม่ยั่งยืน ล่าสุด มาพร้อมกับ  นโยบาย “ตกปลาในบ่อเพื่อน” หรือ “รวบรวมบ้านใหญ่” หรือ “ช้อนบ้านใหญ่และอดีต สส.” หรือ “ช้อนพรรคการเมืองขนาดกลางเฉพาะกิจ” เป้าหมายทางการเมือง ล้วนช่วงชิงอำนาจทั้งสิ้น 

ทั้ง ในการ “ยุบสภา” ในแง่กฎหมาย ทำให้เวลาสังกัดพรรคการเมืองใดการเมืองหนึ่ง จากเดิม 90 วัน ลดลงเหลือเพียง 30 วัน ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 97 (3)  ทำให้นักการเมืองย้ายพรรคกันไปมา ช้อนซื้อตัวง่ายขึ้น ทำให้พรรคไหนมีทรัพยากรและโปรโมชั่นเข้มข้นมากกว่า ย่อมได้เปรียบในทางการเมือง