
18 พฤศจิกายน 2568 อาจารย์กฤษฎา บุญเรือง นักวิชาการอิสระ จากสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีเครือข่ายในพรรคการเมืองสหรัฐฯ และในทำเนียบขาว ให้ข้อมูลว่า ทุกกรณีที่เกี่ยวกับสถานการณ์ไทย-กัมพูชา ไทยจะประสานงานช้ากว่ากัมพูชาประมาณ 6 ชั่วโมง ด้วยเหตุผล 3 ข้อ คือ
เพราะกัมพูชามีลักษณะการปกครองแบบเบ็ดเสร็จ คือ “พ่อ-ลูกตระกูลฮุน” ทำให้การตัดสินใจทำได้ทันที มีทีมงาน Social Media และทีมปฏิบัติการที่ทำงานตลอด 24 ชั่วโมง เน้นความรวดเร็วเป็นหลัก ส่งข้อมูลไปฟ้องโลกก่อน ถูกผิดว่ากันทีหลัง
ส่วนไทย มีความเป็นประชาธิปไตยและระบบราชการ เมื่อเกิดเหตุ เช่น การปะทะ หรือระเบิด ไทยจะเน้นความ "ถูกต้องและแม่นยำ" ต้องตรวจสอบข่าวก่อนแจ้ง ทำให้กระบวนการล่าช้ากว่า นอกจากนี้ รัฐมนตรีหรือนายกฯ ของไทยต้องระวังเรื่องกฎหมายและขั้นตอนมากกว่า
กัมพูชามีการจ้างบริษัทล็อบบี้ยิสต์ในอเมริกาอย่างเป็นทางการ มีค่าใช้จ่ายรายเดือนค่อนข้างสูง แต่ก็ยอมลงทุน เพื่อคอยป้อนข้อมูลเข้าถึงคนใกล้ชิด โดนัลด์ ทรัมป์ หรือทีมงานทำเนียบขาวได้ทันที
ส่วนไทย ไทย: ไม่มีล็อบบี้ยิสต์ในลักษณะนี้อย่างเป็นทางการ ทำให้ขาดช่องทางด่วนในการ "กระซิบ" ข้อมูลเข้าหูทรัมป์ ต้องผ่านช่องทางทูตปกติ ซึ่งมีขั้นตอนเยอะกว่า
ผู้นำสหรัฐฯ รายนี้ ไม่ได้สนใจรายละเอียดลึกซึ้งในเรื่องใด โดยเฉพาะปัญหาไทย-กัมพูชา แต่เลือกสนใจเฉพาะผลลัพธ์หรือภาพลักษณ์ของตัวเอง เพราะต้องการรางวัลโนเบลสันติภาพ ฉะนั้นใครที่ให้ข้อมูลได้เร็วกว่า จึงมักจะเป็นผู้กำหนดทิศทางความคิดของทรัมป์ได้ก่อน
กัมพูชารู้จุดอ่อนนี้ จึงชิงส่งข้อมูลในมุมของตนเองไปก่อน ทำให้ทรัมป์รับสารนั้นไปแล้ว ก่อนที่ไทยจะทันได้ชี้แจง
อาจารย์กฤษฎา เสนอว่า ไทยไม่จำเป็นต้องไปแข่งเรื่องความเร็วกับกัมพูชา เพราะระบบแบบไทยทำไม่ได้จริงๆ แต่ไทยต้องใช้วิธี "บอกกล่าวก่อน" เช่น ก่อนที่ผู้นำไทยหรือหน่วยงานรัฐของไท ยจะประกาศท่าทีอะไรก็ตาม ควรหาช่องทางแจ้งตรงไปยังทำเนียบขาวก่อนล่วงหน้า
เช่น "เราจำเป็นต้องพูดแบบนี้นะ เพื่อลดแรงกดดันในประเทศ แต่จริงๆ เรายังยินดีเจรจา" ทั้งนี้ เพื่อให้อเมริกาเข้าใจเจตนาและไม่ตกใจกับข่าวที่ออกไป
สำหรับ “ช่องทางพิเศษ” ที่ อาจารย์กฤษฎา เสนอ ก็เช่น ใช้ “คีย์แมน” ของสหรัฐฯเอง ที่เคยทำงานในประเทศไทย อย่าง นายปีเตอร์ นาวาร์โร เคยเป็นอาสาสมัครหน่วยสันติภาพสหรัฐฯ ประจำประเทศไทยอยู่หลายปี ช่วงสงครามเย็น จึงมีความเข้าใจประเทศไทย และปัจจุบันยังบทบาทในรัฐบาลของทรัมป์