
กรณีพยานคดีฮั้ว สว.ยื่นหนังสือต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ขอกลับคำให้การ พร้อมให้ข้อมูลว่าข่มขู่ให้ซัดทอดพรรคภูมิใจไทย
12 พฤศจิกายน 2568 พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ แสงเพชร สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) กิจการองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ การป้องกันและปราบปรามการทุจริต ประพฤติมิชอบ และการเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา กล่าวถึงปมดังกล่าวว่า
ตนไม่เสนอความเห็นในข้อกฎหมาย เพราะจะไปก้าวล่วงเจ้าหน้าที่ที่สอบสวน แต่ตนมองว่าในชีวิตการเป็นตำรวจของตน การจะสอบพยานบุคคลเพื่อยืนยันเรื่องอะไร จะต้องมีพยานหลักฐานที่ฟังได้ว่าบุคคลที่เราเอามาสามารถยันตามพยานหลักฐานที่เรามีได้หรือไม่ จะได้ไม่เกิดประเด็นในการบังคับข่มขู่ ถามนำ หรือชี้นำพยานให้เป็นไปในลักษณะเช่นนั้น ซึ่งตนไม่รู้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคำให้การของพยานว่าเกี่ยวข้องอย่างไร แต่กรณีการกลับคำให้การของพยานในชั้นสอบสวนเป็นเรื่องที่น้อยมาก
ตั้งแต่ผมสอบสวนมา พยานกลับคำน้อยมาก ในการสอบสวนของตำรวจ เพราะต้องหาพยานหลักฐานทุกอย่างให้ได้ชัดเจน แล้วถึงจะตั้งประเด็นคำถามให้สอดคล้องกับพยานที่เขาให้การด้วยความบริสุทธิ์ใจ
แต่ถ้าไปเอาพยานมาเพื่อสอบให้เข้าประเด็นกับปัญหาที่ตัวเองตั้งขึ้น เขาสามารถที่จะกลับคำได้ เขาอาจจะบอกว่าถูกข่มขู่ก็เป็นเรื่องของตัวพยานนั้นๆ ในส่วนของตำรวจ พยานกลับคำเราไม่ค่อยจะพบ
เมื่อถามว่ากังวลหรือไม่ว่าท้ายที่สุดคดีอาจจะไม่ยุติธรรม
พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับพนักงานสอบสวนขององค์กรนั้นๆ ว่าคุณให้ความถูกต้องกับเขาหรือไม่ อธิบายความชัดเจนในการที่เขาจะต้องตอบคำถามและถูกต้องหรือไม่ เพราะฉะนั้น อยู่ที่ความบริสุทธิ์ใจหรือความถูกต้องของผู้ทำการสอบสวน ตนไม่ได้ว่าใคร เรื่องนี้ตนไม่ค่อยให้ข่าวกับใคร เพราะกังวลว่าจะไปกระทบกับคนที่เขาทำหน้าที่ แต่ขอพูดในเฉพาะส่วนที่มีประสบการณ์เท่านั้น
เมื่อถามว่าจะต้องทำอย่างไรกับสำนวนต่อเพื่อให้เกิดความโปร่งใส
พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ กล่าวว่า ต้องพิจารณาจากที่เขากลับคำว่าเป็นเพราะเหตุใด ต้องไปหาพยานหลักฐาน ซึ่งตนก็ไม่รู้จะแนะนำอย่างไร เพราะขึ้นอยู่กับผู้สอบ ถ้าผู้สอบทำถูกต้องเป็นธรรม ก็ไม่มีกลับคำ ผู้สอบสวนเรื่องพวกนี้ต้องเป็นมืออาชีพ จะอยู่ที่ใครสั่งไม่ได้ ต้องตามพยานหลักฐานที่ปรากฏ ถึงจะทำให้พยานที่เราเอามานั้นน่าเชื่อถือ ไม่เช่นนั้น บางเรื่องพอฟังมายังไม่ทันได้ดี ก็เอาเข้ามาเป็นพยาน ซึ่งก็เป็นเรื่องของพยานคนนั้น ตนก็ไม่เข้าใจ
เปิดบันทึกถึงอธิบดีดีเอสไอ ขอกลับคำให้การ คดีกล่าวหาฮั้วเลือก สว.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 29 ต.ค.68 ที่ผ่านมา พยานในคดีฮั้วการเลือกตั้งวุฒิสภา ได้ทำบันทึกคำให้การเพิ่มเติมเป็นหนังสือเพื่อกลับคำให้การ ถึงอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ และได้ลงเลขรับไว้เมื่อวันที่ 31 ต.ค.68
โดยระบุว่าด้วย ข้าพเจ้านาย****** ปี **** เลขประจำตัวประชาชน ******* อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น หมายเลขโทรศัพท์ ****** เคยได้ให้การต่อพนักงานสอบสวน กรมสอบสวนคดีพิเศษ ในคดีพิเศษที่ *** ตามบันทึกคำให้การของผู้ร้องทุกข์ ผู้กล่าวหา หรือพยาน ซึ่งเป็นการให้การว่ามีการฮั้วการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา โดยมีข้าพเจ้านาย ***** สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และบุคคลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับพรรคภูมิใจไทย รวมทั้งให้การกับสถานที่ที่เกี่ยวข้อง กล่าวหาว่าได้สนับสนุนให้บุคคลต่างๆ ได้เป็นสมาชิกวุฒิสภา โดยมีการจัดทำโพยฮั้วเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา เพื่อให้การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นไปโดยไม่สุจริตและไม่เที่ยงธรรม รายละเอียดปรากฏตามคำให้การของข้าพเจ้าแล้วนั้น
ข้าพเจ้าจึงขอให้การยืนยันว่า คำให้การของข้าพเจ้าในบันทึกคำให้การคดีพิเศษที่ 2** /2568 เป็นการให้การอันเกิดจากการถูกข่มขู่ ข้าพเจ้าจึงขอให้การใหม่ดังนี้
1.ข้าพเจ้าเคยเป็นสมาชิกพรรคภูมิใจไทย และมีความขัดแย้งกับพรรคช่วงหนึ่ง ชายคนดังกล่าวจึงเข้ามาแจ้งให้ข้าฯ ทราบว่า ข้าฯ จะต้องถูกกลั่นแกล้งทางการเมืองจากพรรคภูมิใจไทยในอนาคต
รวมถึงบุตรชายของข้าฯ ด้วย ชายคนดังกล่าวอ้างว่ารู้จักคนในรัฐบาลและยังได้อ้างว่าเขาสามารถช่วยเหลือให้ข้าฯ หลุดพ้นจากข้อหาได้โดยเปลี่ยนข้าฯ จากผู้ต้องหามาเป็นพยานในคดี แต่มีเงื่อนไขว่าข้าฯ จะต้องให้การตามบทที่ได้กำหนดไว้ มิเช่นนั้นข้าฯ จะต้องหมดอนาคตทางการเมือง รวมถึงจะมีคดีความติดตามข้าฯ และบุตรชายซึ่งเป็น**** ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวข้าฯ และบุตรชายได้ถูกร้องเรียนจากหน่วยงานต่างๆ จริง ข้าฯ จึงเกิดความกลัวเป็นอย่างมาก โดยคำให้การดังกล่าวถือว่าข้าฯ ได้ให้การในฐานะผู้ต้องหาในคดีนี้
2.บุคคลดังกล่าวยืนยันว่ารัฐบาล มีแผนจะใช้กรมสอบสวนคดีพิเศษ กระทรวงยุติธรรม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หน่วยงานของรัฐ เป็นเครื่องมือทำลายล้างและใส่ร้ายทางการเมืองกับพรรคภูมิใจไทย โดยขณะนี้มีการเตรียมการสร้างพยานหลักฐานเพื่อใส่ร้ายว่าข้าพเจ้ามีส่วนร่วมในการฮั้วการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา โดยข้าพเจ้าต้องพ้นตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและรับโทษทางอาญา แต่หากข้าพเจ้า ****
คณะกรรมการคดีพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ในการกันตัวข้าพเจ้าไว้เป็นพยาน โดยข้าพเจ้าไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่งและทางอาญา และไม่ต้องกลัวเรื่องการให้การเท็จต่อเจ้าพนักงาน เนื่องจากรัฐบาลได้ควบคุมหน่วยงานของรัฐต่างๆ ไว้หมดแล้ว ทั้งยังอ้างว่ามีผู้ให้ความร่วมมือจำนวนมากแล้ว เนื่องจากบางส่วนได้รับผลประโยชน์ตอบแทน และบางส่วนถูกข่มขู่จนเกรงกลัวอิทธิพลของรัฐบาล พร้อมทั้งกำชับให้ข้าพเจ้าเก็บเป็นความลับ จะมีการเล่นงานทางการเมือง เป็นเหตุให้ข้าพเจ้าเกิดความกลัวและยินยอมให้ความร่วมมือเพื่อป้องกันภยันตรายต่อตนเองและครอบครัว รวมทั้งบุตรของข้าฯ
3.ข้าพเจ้าขอยืนยันว่าตามคำให้การที่ข้าพเจ้าได้ให้ไว้นั้น ความจริงแล้วไม่มีบุคคลใดกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีการจัดทำโพยฮั้วการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา ตามที่ข้าพเจ้าเคยให้การไว้แต่อย่างใด
ข้าพเจ้าได้ให้การไปตามบทที่อ้างว่ามีการคิดคำนวณทางคณิตศาสตร์ไว้ ข้าพเจ้า สันนิษฐานว่าผู้สมรู้ร่วมคิดอาจนำคลิปการนับคะแนนไปให้ผู้เชี่ยวชาญด้านคณิตศาสตร์ แล้วจัดสร้างโพยฮั้วขึ้นมา เพื่อเป็นพยานหลักฐานเท็จให้สอดคล้องกับผลการเลือกตั้ง เพราะไม่มีประจักษ์พยาน และไม่มีการยึดโพยได้จากคนรับเลือกตั้งรายใด เป็นพยานหลักฐานที่เกิดขึ้นภายหลังการเลือกตั้ง ซึ่งผู้ใดก็จัดทำขึ้นได้ ในบรรดาบุคคล ข้าพเจ้าเชื่อว่ามีหลายคนได้ถูกว่าจ้างหรือถูกข่มขืนใจ บังคับ ขู่เข็ญ ล่อลวงหรือกระทำการโดยมิชอบด้วยประการใดๆ เช่นเดียวกับข้าพเจ้าที่ถูกบังคับ ขู่เข็ญ เพื่อจัดตั้งบุคคลมาให้การเป็นพยานเท็จตามที่มีการสมคบคิดวางแผนไว้อย่างเป็นกระบวนการ
4.ผลของการแทรกแซงหน่วยงานของรัฐข้างต้น และพยายามใช้กรมสอบสวนคดีพิเศษ กระทรวงยุติธรรม เป็นเครื่องมือกลั่นแกล้งทางการเมืองกับพรรคภูมิใจไทย เป็นเหตุให้สมาชิกวุฒิสภารวมชื่อการร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวหาว่ามีการฝ่าฝืนจริยธรรมอย่างร้ายแรง จนเป็นเหตุให้ศาลรัฐธรรมนูญให้ พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม หยุดปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเฉพาะในฐานะผู้กำกับดูแลกรมสอบสวนคดีพิเศษ และรองประธานกรรมการคดีพิเศษตาม การสืบสวนคดีพิเศษ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 มาตรา 82 วรรคสองตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจจัย
5.เมื่อมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ข้าพเจ้ารู้สึกในความปลอดภัยในชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ทรัพย์สิน ชื่อเสียง ของตนเองและครอบครัว เนื่องจากกลุ่มคณะบุคคลที่สมรู้ร่วมคิดซึ่งมีการข่มขืนใจ บังคับ ขู่เข็ญ ล่อลวง ให้ข้าพเจ้าให้ถ้อยคำใส่ร้ายพรรคภูมิใจไทยไม่ได้มีอำนาจในรัฐบาลแล้ว จึงเป็นเหตุที่ข้าพเจ้าต้องการ แก้ไขข้อความให้ตรงกับความเป็นจริง จึงขอให้ถ้อยคำเพิ่มเติมเป็นหนังสือเพื่อแก้ไขข้อความดังกล่าวต่อไป ข้าพเจ้าขอยืนยันว่ามิได้มีเจตนาใส่ร้ายบุคคลอื่นให้เสื่อมเสียต่อชื่อเสียง และมิได้เจตนาจะให้การเท็จต่อเจ้าพนักงานซึ่งมีอำนาจสืบสวนสอบสวนเพื่อให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดให้รับโทษทางอาญา แต่การให้ถ้อยคำของข้าพเจ้าเกิดจากการถูกข่มขืนใจ บังคับ ขู่เข็ญ ล่อลวง ข้าพเจ้าให้ถ้อยคำพาดพิงใส่ร้ายตามบทที่ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้า และข้าพเจ้าขอยืนยันว่าถ้อยคำของข้าพเจ้าในครั้งนี้ เป็นความสัตย์จริงทุกประการคำให้การใดๆ ที่ขัดหรือแย้งกับคำให้การครั้งนี้ ให้ถือคำให้การครั้งนี้ เป็นคำให้การที่ถูกต้องและเป็นความสัตย์จริงทุกประการ และข้าพเจ้าไม่ประสงค์ให้ถ้อยคำเพิ่มเติมแต่อย่างใด