
การขยายอายุเกษียณราชการเป็นประเด็นที่กลับมาอยู่ในความสนใจอีกครั้ง หลังจากนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย เปิดเผยว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี เตรียมเชิญสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้ามาหารือถึงแนวทางการขยายระยะเวลาการเกษียณอายุราชการ เพราะปัจจุบัน มีหลายหน่วยงานที่เริ่มต้นดำเนินการไปแล้ว ทั้งผู้พิพากษา อัยการ ที่อายุ 70 ปี หรือข้าราชการในสถาบันอุดมศึกษา ที่อายุ 65 ปี
ที่ผ่านมา สำนักงาน ก.พ. ได้ศึกษาร่วมกับกรมบัญชีกลาง เกี่ยวกับการขยายการเกษียณอายุราชการ หลังพบข้อมูลว่า คนไทยมีอายุเฉลี่ย 70 ปี มีอัตราการเกิดน้อยกว่าการเสียชีวิต ส่งผลให้บุคคลที่ทำงานสร้างผลิตภาพให้กับประเทศมีน้อย อีกทั้งจะมีอายุขัยรับเงินบำนาญเฉลี่ย 20 ปี จาก 60 ปี ไปถึง 80 ปี ซึ่งการขยายเวลาเกษียณอายุราชการ จึงผูกพันไปยังเรื่องประชากรศาสตร์ กำลังแรงงานข้าราชการ และงบประมาณด้วย
7 พฤศจิกายน 2568 นายปิยวัฒน์ ศิวรักษ์ เลขาธิการ ก.พ. เปิดเผยกับ ฐานเศรษฐกิจ ว่า ที่ผ่านมา สำนักงาน ก.พ. เคยศึกษาแนวทางการขยายการเกษียณอายุราชการไว้หลายรูปแบบ และมีทางเลือกหลายช่วงอายุ ซึ่งจากนี้จะต้องรอการตัดสินใจในระดับนโยบายว่าจะดำเนินการในรูปแบบใด และต้องปรับปรุงข้อกฎหมายใดบ้าง คาดว่า ในเร็ว ๆ นี้ จะได้ข้อสรุป
แหล่งข่าวจาก ก.พ. เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ ก.พ. ได้ศึกษาความเป็นไปได้ในการปรับอายุเกษียณจาก 60 ปี เป็น 63 ปี เพื่อให้สอดคล้องกับโครงสร้างประชากรและศักยภาพการทำงานของคนไทยที่มีอายุยืนยาวขึ้น การศึกษาดังกล่าววางกรอบดำเนินการระยะเวลา 6 ปี โดยเพิ่มอายุเกษียณครั้งละ 1 ปี ทุก 2 ปี เพื่อให้ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ และเจ้าหน้าที่ของรัฐเกษียณอายุที่ 63 ปี ภายในปี 2567
ก.พ. ได้ศึกษาหลายมิติ ตั้งแต่การกำหนดอายุที่เหมาะสมในการเกษียณจากราชการและจากงาน การปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง การประเมินงบประมาณค่าใช้จ่ายที่จะเพิ่มขึ้น ไปจนถึงการพัฒนาศักยภาพบุคลากรและระบบบริหารงานบุคคลให้รองรับคนทำงานหลายช่วงวัย
ทั้งนี้ ปัจจุบันมีกฎหมายเปิดช่องให้ข้าราชการบางตำแหน่ง เช่น แพทย์ ทันตแพทย์ นายสัตวแพทย์ และสายงานศิลปวัฒนธรรมบางประเภท รับราชการต่อได้ไม่เกิน 10 ปีหลังครบ 60 ปี หากมีเหตุผลความจำเป็นและได้รับการพิจารณาโดย อ.ก.พ. กระทรวง
อย่างไรก็ตาม การขยายอายุเกษียณไม่อาจดำเนินการได้ทันทีโดยไร้มาตรการรองรับ ก.พ. จึงเสนอแนวทางสำคัญ 3 ประการ คือ
1. มาตรการบริหารกำลังคนสูงอายุ เพื่อใช้ประโยชน์จากข้าราชการที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง
2. มาตรการเตรียมความพร้อมในการสืบทอดตำแหน่ง เพื่อป้องกันการสูญเสียบุคลากรเมื่อถึงเวลาที่ต้องเกษียณจริง
3. มาตรการสร้างสมดุลกำลังคนในระบบราชการ ด้วยการเปิดทางให้เกษียณก่อนกำหนดในบางกรณี พร้อมเพิ่มจำนวนบุคลากรในสายงานที่ขาดแคลน
อีกแนวทางที่อยู่ระหว่างพิจารณาคือการจ้างผู้ที่เกษียณแล้วกลับมาทำงานในตำแหน่งที่ต้องการความเชี่ยวชาญเฉพาะ โดยจะมีการกำหนดเกณฑ์คัดเลือกอย่างชัดเจน รวมถึงประเมินประสิทธิภาพการทำงานและตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ที่กลับมาปฏิบัติหน้าที่ยังสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แม้แนวคิดนี้จะได้รับเสียงสนับสนุนจากหลายฝ่าย แต่ก็ยังมีประเด็นที่ต้องศึกษาลึกเพิ่มเติม ทั้งในด้านงบประมาณ ผลกระทบต่อโอกาสความก้าวหน้าของคนรุ่นใหม่ และระบบบริหารค่าตอบแทน การขยายอายุเกษียณจึงต้องทำควบคู่ไปกับการปฏิรูประบบราชการให้ยืดหยุ่น มีประสิทธิภาพ และเหมาะสมกับโครงสร้างประชากรในอนาคต
ข้อมูลจาก ฐานเศรษฐกิจ