svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

รัฐบาลควงทหาร-ตร.คอนเฟิร์ม นายกฯ หารือกัมพูชา ไทยไม่เสียเปรียบ!

รัฐบาลนำคณะทหาร-ตำรวจ ประสานเสียงคอนเฟิร์ม ผลหารือนายกฯ กับกัมพูชา ไทยไม่เสียเปรียบ ถอนอาวุธจากพื้นที่ตามไทม์ไลน์ ให้ ผบ.ทสส.ติดตามปฏิบัติตามถ้อยแถลงลงนามหรือไม่

3 พฤศจิกายน 2568 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายเบญจมินทร์ สุกาญจนัจที อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ , พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม , พล.ต.วิทัย ลายถมยา โฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย , พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก , พล.ร.ต.ปารัช รัตนไชยพันธ์ โฆษกกองทัพเรือ , พล.อ.ท.จักรกฤษณ์ ธรรมวิชัย โฆษกกองทัพอากาศ และ พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แถลงความคืบหน้าจากผลการหารือระหว่างนายกรัฐมนตรี และ นายกรัฐมนตรีกัมพูชา (Joint Declaration) และการประชุมที่เกี่ยวข้อง (JBC และ GBC) ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) 

รัฐบาลควงทหาร-ตร.คอนเฟิร์ม นายกฯ หารือกัมพูชา ไทยไม่เสียเปรียบ!

นายสิริพงศ์ กล่าวว่า การแถลงข่าววันนี้เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน โดยเล่าไทม์ไลน์เหตุการณ์ไทย-กัมพูชา ที่ผ่านมา เริ่มตั้งแต่กัมพูชาเข้ามาขุดคูเลต จากนั้นในช่วงเดือน ก.ค.เป็นช่วงที่ไทยได้ความสูญเสีย คือทหารเหยียบกับระเบิดในพื้นที่ตรวจการของฝั่งไทย 3 นาย และระเบิดลูกแรกของกัมพูชาตกลงฝั่งไทยที่ปั๊มน้ำมัน ใน จ.ศรีสะเกษ นำมาซึ่งความสูญเสียชีวิตพลเรือน 8 คน และมีเด็กอายุ 8 ขวบด้วย ปฏิเสธไม่ได้ว่า เรามีความโกรธแค้นในความสูญเสีย และความเสียใจ 

จากนั้นมีการโต้ตอบกัน 4 วัน 5 คืน สูญเสียทหารนับ 10 ราย บาดเจ็บ 666 คน เหตุการณ์ดำเนินมาถึงวันที่ 28 ก.ค.68 ได้มีการลงข้อตกลงหยุดยิง ระหว่างรักษาการนายกรัฐมนตรีในขณะนั้นกับกัมพูชาที่มาเลเซีย มีผู้สังเกตการณ์คือ สหรัฐฯ และมาเลเซีย ดังนั้น การดำเนินการใดๆ ที่จะเกิดขึ้นระหว่างไทย-กัมพูชา จะเป็นเรื่องที่ถูกสังคมโลกจับตามอง สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือ ไทย-กัมพูชา มีพื้นที่ติดกัน เราไม่ได้ลืมความเจ็บแค้น แต่วันนี้เรากำลังพูดถึงเมื่อมีแผ่นดินที่ติดกัน และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงนี้ได้จะเดินหน้าอย่างไร

นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

นายสิริพงศ์ กล่าวต่อว่า ไทยยืนยันใน 4 ข้อหลัก และวันนี้มีการเซ็นเอกสารเพิ่มเติมคือ Joint Declaration ว่า ไทยและกัมพูชาจะดำเนินการอย่างไรต่อกัน
 

ย้ำว่า ประเทศไม่สามารถเดินหน้าได้ด้วยข่าวลือ แต่ประเทศจะเดินหน้าด้วยข้อเท็จจริง มาตรการการดำเนินการภายใต้รัฐบาล ทางกระทรวงกลาโหม และกระทรวงการต่างประเทศ มีการประสานงานพูดคุยแลกเปลี่ยนแนวทางกันอย่างใกล้ชิดตลอด
 

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ได้แต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิบัติตามตามเอกสารแถลงถ้อยแถลง ผลการพบปะหารือระหว่างนายกฯ ไทยและกัมพูชา และกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568  หรือ คปถ. โดยจะมีผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นประธานคณะกรรมการ มีหน้าที่ในการติดตามประเมินผล ทั้งการดำเนินการของทั้งสองฝ่าย และมีหน้าที่อำนวยการคณะสังเกตการณ์ เพื่อให้เป็นไปด้วยความสงบ เรียบร้อย สันติสุข
 

ส่วนการเปิดด่านนั้นขอยืนยันว่า นโยบายรัฐบาลชัดเจนมาก ยังไม่มีการพูดเรื่องเปิดด่าน โดยจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่พิจารณา ซึ่งรัฐบาลกัมพูชาต้องทำตามเงื่อนไขในข้อแถลง 4 ข้อ และขอให้ท่านทุกท่านมั่นใจว่า รัฐบาลไทยไม่ย่อหย่อน และไม่มีทางที่จะย่อหย่อนต่อกัมพูชาอย่างแน่นอน

ส่วนประเด็น 18 เชลยศึกกัมพูชา ยืนยันว่า กระบวนการเหล่านี้จะเริ่มต้น ก็ต่อเมื่อกัมพูชาได้ทำตามข้อตกลง 4 ข้อทั้งหมด ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการประเมินว่า กัมพูชาได้ทำตามข้อตกลง 4 ข้อที่ไทยเรียกร้องหรือไม่

 


รัฐบาลควงทหาร-ตร.คอนเฟิร์ม นายกฯ หารือกัมพูชา ไทยไม่เสียเปรียบ!

เมื่อถามว่า แม้ว่า 1 เดือนที่ผ่านมาของรัฐบาลไม่ได้เสียดินแดน แต่ความรู้สึกของประชาชนที่เสียปราสาทตาควาย ปราสาทคนา และเนิน 677 รัฐบาลจะเอาอะไรไปเจรจาไม่ให้ไทยเสียประโยชน์ โฆษกรัฐบาล บอกว่า เรื่องความรุนแรงได้จบไปแล้ว ตั้งแต่วันที่ 28 ก.ค. รัฐบาลไม่สามารถที่จะไปใช้กำลังรุกรานก่อนได้ แต่แนวทางที่จะทำก็คือ "สันติวิธี" การเจรจาในเรื่องของการปักปันเขตแดน พูดคุยข้อพิพาทที่เป็นปัญหา ซึ่งต้องเป็นเรื่องที่ต้องมาพูดคุยกันในระดับทวิภาคี ซึ่งหมายถึงทุกพื้นที่ แต่ยังไม่มีกรอบเวลาในระยะสั้น ซึ่งต้องดำเนินการตาม 4 ข้อตกลงก่อน

ด้าน พล.ร.ต.สุรสันต์ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า การทำงานร่วมกันระหว่าง JBC และ GBC ก่อนจะนำมาสู่ Joint Declaration โดย GBC ไทย-กัมพูชา มีการจัดตั้งมานานแล้ว และมีการพูดคุยกันทุกปี โดยสลับกันเป็นเจ้าภาพ ที่เป็นข้อบังคับว่า JBC จะจัดประชุมได้แค่ครั้งเดียวต่อปี แต่จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นมา ทำให้เราต้องใช้กลไกการเชิญประชุมร่วมกัน ถึงเป็นสมัยวิสามัญ ท้ายที่สุดการเจรจาเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่สองฝ่ายเข้าสู่สันติ และหัวใจสำคัญคือประชาชน

ข้อตกลงจากการประชุม GBC เมื่อ 7 ส.ค.ที่ผ่านมา คือหยุดยิงโดยอาวุธทุกชนิด ไม่มีการเคลื่อนย้ายตั้งแต่เที่ยงคืน 28 ก.ค. 68 ไม่มีการเพิ่มกำลังเข้ามาตลอดแนวชายแดน ละเว้นการยั่วยุที่จะอาจจะนำไปสู่ความตึงเครียดเพิ่มขึ้น ละเว้นการก่อสร้างหรือพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางทหาร หรือการเสริมความมั่นคงของทางทหาร งดเว้นการใช้กำลังทุกประเภทต่อพลเรือน และเป้าหมายทางพลเรือนโดยเด็ดขาด กรณีที่มีการขัดกันด้วยอาวุธทุกชนิด ให้ทั้งสองฝ่ายหารือกันในระดับพื้นที่ผ่านกลไกทวิภาคีที่มีอยู่ให้เร็วที่สุด

ส่วนข้อตกลงเมื่อ 10 ก.ย.68 ได้ร่วมหยิบยกในประเด็น 4 ข้อ คือการถอนอาวุธหนัก เก็บกู้ทุ่นระเบิด ปราบปรามสแกมเมอร์ และการฟื้นฟูนำพื้นที่ ที่มีปัญหาไปสู่ความสงบ โดยเรื่องการถอนอาวุธหนัก มีการทำแผนปฏิบัติการในการถอนอาวุธภายใน 3 สัปดาห์ และเห็นชอบหลักการเกี่ยวกับข้อกำหนดขอบเขตการปฏิบัติหรือ TOR สำหรับการจัดตั้งคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน ก่อนที่จะมีการเห็นชอบกรอบแนวทางการปฏิบัติ โดยกำหนดวันเริ่มต้น และเห็นชอบขอบเขตการปฏิบัติสำหรับการจัดตั้ง AOT

ทั้งนี้ มีการถอนอาวุธหนัก อาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง (ประเภท A) ภายใต้ระยะที่ 1 จะดำเนินการเป็นเวลา 3 สัปดาห์ ตั้งแต่วันที่ 1 - 21 พฤศจิกายน 2568 สำหรับระยะที่ 2 จะดำเนินการเป็นเวลา 3 สัปดาห์ ตั้งแต่วันที่ 22 พฤศจิกายน - 12 ธันวาคม 2568 และการถอนอาวุธหนักและอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงในระยะที่ 3 (ประเภท C) กำหนดให้ดำเนินการเป็นเวลา 3 สัปดาห์ ตั้งแต่วันที่ 13 - 31 ธันวาคม 2568 โดยคาดว่าจะถอนกำลังแล้วเสร็จสิ้นภายในสิ้นปีนี้ ครอบคลุมระยะเวลา 2 เดือน
 

ยืนยันว่า เป็นแค่การถอนอาวุธหนัก ส่วนกองกำลังป้องกันชายแดน ที่มีการวางกำลังอยู่ในพื้นที่เดิม ไม่มีการถอนกำลังใดๆ คนที่ปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดน ก็จะปฏิบัติหน้าที่เช่นเดิม ขอให้ความมั่นใจว่า เรายังปกป้องอธิปไตยของชาติต่อเนื่อง ไม่มีการถอนกำลังพล ถอนขีดความสามารถของเราตามแนวชายแดนใดๆ
 

 

พล.ร.ต.สุรสันต์ โฆษกกระทรวงกลาโหม


สำหรับภารกิจของ AOT เรามีกลไกเป็นตัวกำกับ เพื่อให้รายงานไปยังหน่วยขึ้นตรงหากมีปัญหาใดๆ ทั้งสองฝ่ายจะรายงานไปที่ฝ่าย AOT เพื่อให้สร้างแรงกดดันไปยังอีกฝั่ง ยืนยันว่า เรามีกลไกตรวจสอบและการปฏิบัติเรียบร้อย

ส่วนการเก็บกู้ทุ่นระเบิด ถือเป็นประเด็นสำคัญช่วงเวลาที่ผ่านมา GBC มีการประชุมเรื่องนี้เช่นเดียวกัน โดยมีการพูดคุยการจัดตั้งชุดประสานงานร่วมเฉพาะกิจ (Joint Coordinating Task Forces : JCTF) โดยมีการหารือ และจัดทำมาตรฐานขั้นตอนการปฏิบัติงานในการเก็บกู้ทุ่นระเบิด และกำหนดพื้นที่นำร่องในการเก็บกู้ภายใน 1 เดือน ต่อมาที่ประชุมรับทราบ และจัดตั้งคณะดังกล่าว ก่อนจะบรรลุข้อตกลง SOP ในการเก็บกู้ทุ่นระเบิด

ทั้งนี้ ฝ่ายไทยเสนอพื้นที่นำร่อง 13 พื้นที่ โดยฝ่ายกัมพูชาไม่ได้เสนอพื้นที่ใดๆ ก่อนที่ต่อมาจะเสนอมาเพียง 1 พื้นที่เท่านั้น โดยทั้ง 13 พื้นที่ครอบคลุมพื้นที่ตลอดแนวชายแดน และเรามีกลไกการเจรจาและพูดคุยเพื่อให้บรรลุการเก็บกู้ทุ่นระเบิด ย้ำว่า 13 พื้นที่ปฏิบัติการที่มีข้อตกลงกับกัมพูชา ลักษณะการทำงานจะแบ่งงานออกไปว่าอธิปไตยของใครก็เป็นของคนนั้น
 

“ถือว่าการดำเนินการในเรื่องนี้มีความคืบหน้าไปบ้าง แม้จะมีการขัดขวางจากฝ่ายตรงข้าม แต่ยังยืนยันที่จะเก็บกู้ เพื่อความปลอดภัยทางชีวิต และทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน โดยเป็นไปตามกรอบอนุสัญญาออตตาวา” โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าว
 

โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวอีกว่า มีการจัดตั้งคณะทำงานร่วม (Joint Task Force) มีแผนปฏิบัติการในการป้องกัน และปราบปรามอาชญากรรมทางออนไลน์ ซึ่งขณะนี้มีการจัดส่งรายชื่อ และจัดตั้งคณะขึ้นเรียบร้อยแล้ว ส่วนการลงนามกันของทั้งสองประเทศเห็นถึงความสำคัญของเรื่องดังกล่าว และให้ปฏิบัติตามเงื่อนไขของที่ประชุม GBC

ด้าน พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงการปราบปรามไซเบอร์สแกมเมอร์ ว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ดำเนินงานมาอย่างต่อเนื่อง มีการประสานความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน เพราะในปัจจุบัน สแกมเมอร์พัฒนารูปแบบเป็นองค์กรระดับชาติ โดยไทยได้ประสานความร่วมมือกับกัมพูชา ตั้งแต่ปี 2564 ในการรับตัวคนไทยที่ถูกหลอกลวง และที่สมัครใจ จนกระทั่งปี 2568 ตั้งแต่เดือน มี.ค.ได้มีการส่งตัวคนไทยกลับมาดำเนินคดี รวมแล้ว 249 คน  ทั้งนี้ ในเดือนกันยายน ทางไทยได้มอบข้อมูลเป้าหมายที่เป็นจุดสำคัญของไซเบอร์สแกม กว่า 62 เป้าหมายในกัมพูชา ให้กัมพูชาได้ตรวจสอบ ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการตรวจสอบ

นอกจากนี้  ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้ช่วย ผบ.ตร. ได้ลงนามแผนปฏิบัติการความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ อันประกอบด้วย การหลอกลวงไซเบอร์และการค้ามนุษย์ ระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติไทย และสำนักงานตำรวจแห่งชาติกัมพูชา  โดยหัวใจสำคัญคือเป็นการกำหนดแผนร่วมกัน 8 ข้อ ได้แก่ การแบ่งปันข่าวกรอง 2 ระดับ คือข่าวกรองทั่วไป และข่าวกรองปฏิบัติการ , การป้องกันอาชญากรรม คือ การแลกเปลี่ยนข้อมูลผู้ต้องสงสัยข้ามแดน  , การปฏิบัติการพร้อมกัน 2 ประเทศ , การส่งผู้ต้องสงสัยและคุ้มครองเหยื่อ , การประชุมติดตามผล โดยจัดอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง , คณะทำงานร่วม  ฝ่ายละ 12 นาย พร้อมเจ้าหน้าที่ประสานงานโดยตรง, ระยะเวลาบังคับใช้ ภายใน 2 ปี  ตั้งแต่ 23 ต.ค. 68 - 22 ต.ค. 70 และลักษณะข้อตกลง เป็นความร่วมมือเสริมไม่แทนที่สนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน

ในส่วนของ ตร. ผบ.ตร.ได้ขับเคลื่อนอย่างเต็มที่  มีการตั้งศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ รวมทั้ง มีการตั้งศูนย์วอร์รูม และประสานงานกับธนาคารแห่งประเทศไทยอีกด้วย นอกจากนี้ ยังเปิดปฏิบัติการ ซิม สาย เสา โดยเฉพาะการตรวจสอบสายสัญญาณอินเตอร์เน็ต และเสาปล่อยสัญญาณโทรศัพท์อินเตอร์เน็ตในพื้นที่ เพื่อรวบรวมข้อมูล และยกระดับการแก้ไขปัญหาสกัดกั้นการส่งสัญญาณข้ามไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มสแกมเมอร์  รวมถึง โครงการ money cash back  เพื่อสกัดกั้นคนที่เข้าไปร่วมกับเครือข่าย
 

พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
 

ไทย-กัมพูชา เห็นพ้องสำรวจ-จัดทำหมุดชั่วคราวอย่างเร่งด่วน หนองจาน-หนองหญ้าแก้ว 17 พ.ย. นี้ พร้อมแก้ TOR 2003 ใช้ LiDAR ช่วยทำภาพถ่ายทางอากาศ ยันไทยไม่เสียเปรียบ เตรียมประชุม JBC ติดตามข้อตกลง ต้นเดือน ม.ค. 69
 

นายเบญจมินทร์ สุกาญจนัจที อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงผลหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีไทย และนายกรัฐมนตรีกัมพูชา (Joint Declaration) และการประชุมที่เกี่ยวข้อง (JBC และ GBC) ว่า กลไก JBC เป็นกลไกทางเทคนิคในการสำรวจ และจัดทำเขตหลักแดน ซึ่งมีการประชุมสมัยวิสามัญไป เมื่อ 21 - 22 ตุลาคม ที่จังหวัดจันทบุรี และมีผลการประชุมแบ่งออกเป็น 3 ประเด็นหลัก คือ
 

1. เป็นการซ่อมแซมทำหลักเขตแดน เพื่อเปลี่ยน หรือทดแทนหลักเขตแดนเดิมที่เสียหาย ที่สองฝ่ายมีความเห็นตรงกันแล้ว

 

2.การเร่งรัดการแก้ไข TOR ปี 2003 เพื่อนำเทคโนโลยี “LiDAR” มาใช้ในการทำแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศ โดยเห็นชอบที่จะทดลองใช้เทคโนโลยีดังกล่าว ภายในสัปดาห์แรกของเดือนธันวาคม 2568
 

3.ความเห็นพ้องต่อกระบวนการการสำรวจ และจัดทำหลักเขตชั่วคราวอย่างเร่งด่วน บริเวณหลักเขตแดนที่ 42 - 47 ซึ่งเป็นพื้นที่บ้านหนองจาน และบ้านหนองหญ้าแก้ว เพื่อให้หน่วยงานท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องสามารถบริหารจัดการประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการครอบครองที่ดินในบริเวณดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ เชื่อว่าจะมีส่วนช่วยในการลดการกระทบกระทั่ง และความขัดแย้งในรูปแบบต่าง ๆ ได้

ทั้งนี้ การสำรวจ และการจัดทำหมุดชั่วคราวอย่างเร่งด่วนนั้น กัมพูชาอยู่ระหว่างการพิจารณาร่างคำแนะนำเทคนิค  ส่วนฝ่ายไทยได้จัดทำร่าง และเสนอไปแล้ว โดยรอคำตอบอยู่ ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2568 จากนั้นจะเริ่มการสำรวจเพื่อวางหมุดชั่วคราวภายในวันที่ 17 พ.ย. 2568 โดยมีแผนงานคร่าวๆ คือ เริ่มจากหลักเขตที่ 42 - 43 ตามด้วยหลักเขตที่ 46 - 47 และเขตหลักที่ 43 - 46 ตามลำดับ เมื่อทั้งสองฝ่ายดำเนินการแล้ว จะนำผลการสำรวจเสนอต่อรัฐบาลของแต่ละฝ่าย เพื่อออกความเห็นชอบ และกำหนดกลไกที่เหมาะสมสำหรับการปรับการถือครองที่ดินของทั้งสองฝ่ายต่อไป
 

ย้ำว่าการวางหมุดชั่วคราวอย่างเร่งด่วน มีวัตถุประสงค์เพื่อการสำรวจเท่านั้น ไม่ได้กระทบต่อสิทธิ์ของไทยและกัมพูชา ในเรื่องเขตแดนตามกฎหมายระหว่างประเทศ และสิ่งที่ตกลงกัน คือ จะจัดให้มีการประชุม JBC อีกครั้ง เพื่อติดตามสิ่งที่ทั้งสองฝ่ายดำเนินการ ในช่วงต้นเดือน ม.ค.2569

ส่วนการแก้ TOR จะทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบหรือไม่ TOR ฉบับดังกล่าว เป็นเพียงข้อปฏิบัติ ที่ต่อเนื่องมาจาก MOU 2543 จึงไม่มีปัญหาอะไรที่จะทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบ ซึ่งเป็นรายละเอียดข้อกำหนดของผู้ปฏิบัติเท่านั้น 
 

นายเบญจมินทร์ สุกาญจนัจที อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ