svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

ป่าทับคน! "ทวี สอดส่อง" เดินหน้าถก กมธ.ฯ นิรโทษกรรมผลกระทบจาก "นโยบายที่ดินและป่าไม้ฯ"

ป่าทับคน! "ทวี สอดส่อง" เดินหน้าถก กมธ.ฯ นิรโทษกรรมผลกระทบจาก "นโยบายที่ดินและป่าไม้ฯ" ก่อนเปิดสมัยประชุมฯ วาระ2-3 ชี้ต้อง "ช่วยเหลือแก่ราษฎร-มุ่งคุ้มครองชาวบ้านที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม"

28 ตุลาคม 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานจาก ห้องประชุมคณะกรรมาธิการ CB406 ชั้น 4 อาคารรัฐสภา ถนนสามเสน เขตดุสิต กรุงเทพฯ ว่า เมื่อเวลา 13.30 น. ที่ผ่านมา

 

พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง หัวหน้าพรรคประชาชาติ, สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชาติ และ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราช บัญญัตินิรโทษกรรมแก่ราษฎร ซึ่งได้รับความเสียหายหรือได้รับผลกระทบจากการดำเนินการตามนโยบายของรัฐด้านที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ

โดย บรรยากาศของการประชุมฯ เป็นไปด้วยความสร้างสรรค์ คณะกรรมาธิการฯ และที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการฯ ได้แสดงความคิดเห็นในรายมาตราอย่างหลากหลาย และเป็นประโยชน์ โดยมี นายเลาฟั้ง บัณฑิตเทอดสกุล ในฐานะรองประธานฯ เข้าประชุม และร่วมแสดงความเห็นในที่ประชุมด้วย

 

ป่าทับคน! "ทวี สอดส่อง" เดินหน้าถก กมธ.ฯ นิรโทษกรรมผลกระทบจาก "นโยบายที่ดินและป่าไม้ฯ"

 

ป่าทับคน! "ทวี สอดส่อง" เดินหน้าถก กมธ.ฯ นิรโทษกรรมผลกระทบจาก "นโยบายที่ดินและป่าไม้ฯ"

 

ป่าทับคน! "ทวี สอดส่อง" เดินหน้าถก กมธ.ฯ นิรโทษกรรมผลกระทบจาก "นโยบายที่ดินและป่าไม้ฯ"

 

ป่าทับคน! "ทวี สอดส่อง" เดินหน้าถก กมธ.ฯ นิรโทษกรรมผลกระทบจาก "นโยบายที่ดินและป่าไม้ฯ"

 

ป่าทับคน! "ทวี สอดส่อง" เดินหน้าถก กมธ.ฯ นิรโทษกรรมผลกระทบจาก "นโยบายที่ดินและป่าไม้ฯ"

 

ป่าทับคน! "ทวี สอดส่อง" เดินหน้าถก กมธ.ฯ นิรโทษกรรมผลกระทบจาก "นโยบายที่ดินและป่าไม้ฯ"

 

 

 

 

 

พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ประธานการประชุมฯ เปิดเผยความคืบหน้าของการประชุมฯ ว่า ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่ราษฎร ซึ่งได้รับความเสียหายหรือได้รับผลกระทบจากการดำเนินการตามนโยบายของรัฐด้านที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ เป้าประสงค์ คุ้มครอง “สิทธิชุมชน” ตามรัฐธรรมนูญ

 

 

 

 

 

จากการที่ได้เข้ามารับหน้าที่ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าว ที่ได้ประชุมกันอย่างต่อเนื่องมาจนถึงในขณะนี้ และครั้งที่ 9 ในวันพรุ่งนี้ (วันพุธที่ 29 ตุลาคม 2568) เวลา 09.30 - 16.30 น. ก่อนที่จะปิดสมัยประชุมของรัฐสภา โดยในช่วงปิดสมัยประชุมของรัฐสภา ระหว่างวันที่ 30 ตุลาคม - 12 ธันวาคม 2568 คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างมีแผนที่จะนัดประชุมรับฟังความเห็นเพิ่มเพื่อให้ร่างกฎหมายฉบับนี้สามารถอำนวยความยุติธรรมได้สูงสุด เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติและความผาสุกของประชาชนโดยรวม ซึ่งคณะกรรมาธิการฯ คาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะสามารถเสนอร่างกฎหมายนี้ต่อสภาผู้แทนราษฎรในวาระ 2 และวาระ 3 ในวันที่ 12 ธันวาคม 2568 ที่จะเปิดสมัยประชุมสภาผู้แทนราษฎร (สามัญประจำปีครั้งที่ 2)

 

พ.ต.อ.ทวี ระบุว่า ขอยืนยันใน “หลักการ” ให้มีกฎหมายว่าด้วยการนิรโทษกรรมและล้างมลทินแก่ราษฎรอันเนื่องมาจากการได้รับความเสียหายหรือได้รับผลกระทบจากการดำเนินการตามกฎหมายและนโยบายของรัฐด้านป่าไม้และที่ดิน ตาม “เหตุผล” เนื่องจากมีประชาชนได้รับความเสียหายหรือได้รับผลกระทบจากการดำเนินการตามกฎหมายและนโยบายของรัฐด้านป่าไม้และที่ดิน อันเกี่ยวข้องกับกรณีประกาศเขตพื้นที่ของรัฐทับที่ทำกินของประชาชน ทั้งที่ประชาชนเหล่านี้เป็นผู้อยู่อาศัยทำกินมาก่อนการประกาศเขตพื้นที่ของรัฐ ส่งผลให้ประชาชนต้องกลายเป็นผู้ฝ่าฝืนกฎหมายที่มาประกาศทับซ้อนภายหลังอย่างไม่เป็นธรรม ส่วนผู้เป็นนายทุน ผู้กระทำผิดกฎหมายทุกชนิด หรือผู้ที่ได้ครอบครองที่ดินที่ได้ร่วมมือกับเจ้าหน้าที่รัฐในการออกเอกสารสิทธิโดยมิชอบและถูกดำเนินคดีบุกรุก จะต้องไม่ได้รับประโยชน์จากการนิรโทษกรรมและล้างมลทินจากกฎหมายฉบับนี้โดยเด็ดขาด

 

ตามร่างกฎหมายที่สภาผู้แทนราษฎรผ่านวาระ 1 จำนวน 2 ร่าง และได้ตั้งคณะกรรมาธิการฯ นั้น ผู้ที่ได้รับนิรโทษกรรมและล้างมลทิน คือ ผู้เสียหายและผู้ได้รับผลกระทบจากความผิดพลาดในนโยบายรัฐและถูกดำเนินคดีใน 3 กลุ่ม ได้แก่

[กลุ่มที่ 1] ผู้ที่ได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินภายหลังวันที่ประกาศเป็นพื้นที่สงวนหวงห้ามตามกฎหมายครั้งแรก แต่ได้รับการผ่อนผันตามมาตรการของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2541 เรื่อง การแก้ไขปัญหาที่ดินในพื้นที่ป่าไม้ และมิได้มีการฝ่าฝืนหรือกระทำผิดหลักเกณฑ์ตามมาตรการดังกล่าว

เนื้อหาของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2541 คือ การเห็นชอบในหลักการมาตรการและแนวทางการแก้ไขปัญหาที่ดินของราษฎรในพื้นที่ป่าไม้ ซึ่งรวมถึงการดำเนินการตรวจสอบราษฎรที่อยู่อาศัยและทำกินในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ และการกำหนดมาตรการจัดการที่ดินตามกลุ่มชั้นลุ่มน้ำ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ราษฎรและป่าสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างเหมาะสม

โดยได้มอบหมายการดำเนินการตรวจสอบและจำแนกพื้นที่ไปให้กรมป่าไม้ และให้ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมที่ดิน และกรมธนารักษ์ เพื่อตรวจสอบรายละเอียดของราษฎรที่อาศัยและทำกินในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ และจำแนกพื้นที่ให้ชัดเจนด้านการพิสูจน์สิทธิ ถือว่าเป็นการเริ่มต้นกระบวนการพิสูจน์สิทธิการครอบครองที่ดินในพื้นที่ป่า อาทิ การสำรวจที่อยู่อาศัยและที่ทำกินของประชาชนประมาณ 4.7 ล้านไร่

ผลกระทบของมติ ครม. นี้ ถือเป็นพื้นฐานหลักที่สำคัญในการจัดการปัญหาที่ดินในเขตป่ามาอย่างต่อเนื่อง แต่เพราะที่ผ่านมาการดำเนินการรังวัด สำรวจ และจัดทำแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐโดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติและพื้นที่ป่าอนุรักษ์นั้น มิได้ดำเนินการอย่างจริงจัง ทำให้เกิดสภาพของการผ่อนผันให้อยู่อาศัยและทำกินมาโดยตลอด ส่งผลกระทบต่อทั้งหน่วยงานรัฐและราษฎรที่อาศัยในพื้นที่ป่า เกิดเป็นกรณีที่เจ้าหน้าที่รัฐดำเนินคดีราษฎรที่แม้จะอยู่อาศัยตามการสำรวจตามมติ ครม. ซึ่งเป็นเพียงกฎหมายฝ่ายบริหาร เมื่อคดีเหล่านั้นเข้าสู่กระบวนการของศาล ประชาชนจึงต้องตกอยู่ในสถานะผิดกฎหมายตามสถานะที่ดินที่รัฐประกาศเขตป่าทับไว้ แต่ยังไม่ถูกแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรมในระดับกฎหมาย จึงส่งผลให้ถูกดำเนินคดีและกลายเป็นผู้ถูกพิพากษาติดคุก ปรับและขับไล่ออกจากพื้นที่จำนวนมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เป็นธรรม

[กลุ่มที่ 2] ผู้ที่ได้รับผลกระทบจาก “นโยบายทวงคืนผืนป่า” โดยเป็นผู้ที่ได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินภายหลังวันที่ประกาศเป็นพื้นที่สงวนหวงห้ามตามกฎหมายครั้งแรก ก่อนที่จะได้รับการคุ้มครองตามคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 66/2557 ลงวันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2557 ที่มุ่งคุ้มครองผู้ยากไร้ไม่ให้ได้รับผลกระทบจากนโยบายปราบปรามนายทุน แต่เจ้าหน้าที่กลับไม่นำนโยบายดังกล่าวมาปฏิบัติอย่างเป็นธรรม ทำให้คนจนผู้ยากไร้ถูกแจ้งความดำเนินคดีในลักษณะคดีมวลชน (จำนวนมาก) ตีความการกระทำว่าเป็นนายทุนเนื่องจากเจ้าหน้าที่ได้รวมแปลงให้มีพื้นที่จำนวนมากแล้วจึงแจ้งความจับกุมดำเนินคดี ทำให้มีผู้ได้รับความเสียหายจำนวนมาก และยังไม่ได้รับความเป็นธรรมมาจนถึงปัจจุบัน ถือเป็นกลุ่มเป้าหมายหนึ่งที่สำคัญที่จะต้องออกกฎหมายนิรโทษกรรมนี้ เพื่อให้การคุ้มครองช่วยเหลือแก่ราษฎร

ตัวอย่างความเดือดร้อนของราษฎรกลุ่มนี้ มีคดีความที่เกิดขึ้นระหว่างปี พ.ศ. 2557 - 2562 ที่เป็นผลมาจากนโยบายทวงคืนผืนป่า ทำให้เกิดคดีทวงคืนผืนป่าสูงถึง 30,508 คดี มีคนถูกจับกุม จำนวน 6,824 ราย แต่จากผู้ถูกจับกุมทั้งหมดนั้น เมื่อจำแนกแยกย่อยจะพบเป็นกลุ่มนายทุนเพียง 20% หรือ 1,365 ราย ที่เหลืออีก 80% หรืออีก 5,459 รายเป็นชาวบ้าน ที่ ณ ขณะนั้นไม่ได้มีกระบวนการตรวจสอบถ่วงดุลอย่างปกติ เป็นต้น

 

[กลุ่มที่ 3] ประชาชนได้รับความเสียหายหรือได้รับผลกระทบจากการดำเนินการกรณีรัฐประกาศเขตพื้นที่ของรัฐทับที่ทำกินของประชาชน ทั้งที่ประชาชนอยู่มาก่อน ทำให้ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่นั้นกลายเป็นผู้ฝ่าฝืนกฎหมายไป หรือกลุ่มคืนสิทธิ คืนสถานะให้กับผู้ที่ได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินก่อนวันที่ประกาศเป็นพื้นที่สงวนหวงห้ามตามกฎหมายครั้งแรก เพื่อให้สามารถเข้าสู่กระบวนการพิสูจน์และขอรับสิทธิในที่ดินตามกฎหมายหรือนโยบายภาครัฐที่มีอยู่ในปัจจุบัน

หากพิจารณาระบบการบริหารจัดการป่าของประเทศไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน พบข้อเท็จจริงที่สำคัญว่า เราไม่สามารถเพิ่มพื้นที่ป่าและประสิทธิภาพการจัดการป่าได้ หากภาครัฐยังปิดกั้นการมีส่วนร่วมของประชาชนหรือเป็นผู้ผลักให้ชุมชนที่อาศัยอยู่กับป่าต้องสุ่มเสี่ยงกับนโยบายและกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม

 

ประเทศไทยมีพื้นที่เขตป่าไม้ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ สูงถึง 135.41 ล้านไร่ แต่มีสภาพป่าไม้จริงเหลืออยู่เพียง 101.78 ล้านไร่ หรือ 31.46% ของพื้นที่ประเทศไทย ยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดเจน เช่น พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ 1,221 แห่ง มีพื้นที่รวม 58.69 ล้านไร่ แต่มีพื้นที่ที่มีต้นไม้ปกคลุมเพียง 32.51 ล้านไร่ หรือพื้นที่อุทยานแห่งชาติ มีพื้นที่รวม 41.06 ล้านไร่ แต่มีพื้นที่ที่มีต้นไม้ปกคลุมเพียง 33.97 ล้านไร่ เป็นต้น ซึ่งคณะกรรมาธิการฯ ตระหนักดีถึงเป้าหมายของการมีพื้นที่ป่า 40% ของพื้นที่ประเทศ ตามยุทธศาสตร์ชาติที่กำหนดไว้ ซึ่งเรายังต้องเพิ่มพื้นที่ป่าอีกถึง 27.6 ล้านไร่ ภาคประชาชนเป็นกำลังสำคัญที่จะช่วยเพิ่มพื้นที่ป่าบนพื้นที่ดินตนเองเพื่อเป้าหมายการมีสภาพแวดล้อมที่ดีส่งต่อคุณภาพชีวิตที่ดีสู่คนรุ่นต่อๆไป

 

พ.ต.อ.ทวี ระบุว่า “ทุกท่านคงตระหนักดีว่า ขณะนี้ประเทศไทยกำลังเผชิญวิกฤตความเหลื่อมล้ำด้านการถือครองที่ดินอย่างรุนแรงระดับโลก ที่ดินในส่วนเอกชนจากข้อมูลเอกสารสิทธิโฉนดที่ดินจากกรมที่ดินระบุว่า 99% ของเอกสารสิทธิที่ประชาชนทั่วไปถือครองอยู่นั้น มีพื้นที่ไม่ถึง 50 ไร่ หรือเฉลี่ยเพียงแค่รายละ 2-6 ไร่ ส่วนกลุ่มผู้ที่ถือครองที่ดินมากกว่า 200 ไร่นั้น มีจำนวนไม่ถึง 1% แต่กลับครอบครองพื้นที่รวมกันมากกว่าประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ทั้งนี้กลุ่มผู้ถือครองที่ดินเกิน 1,000 ไร่ มีอยู่เพียง 130 ราย โดยถือครองที่ดินรวมกว่า 2 ล้านไร่ ในขณะที่ที่ดินส่วนใหญ่เป็นที่ดินของรัฐที่ประชาชนอาศัยอยู่ และหลายชุมชนอยู่มาก่อนรัฐ สืบทอดการทำกินมาหลายชั่วอายุคนแต่เมื่อรัฐประกาศเขตป่า ประชาชนกลับกลายเป็นผู้บุกรุกในบ้านเกิดตนเอง คณะกรรมาธิการฯ มีเป้าหมายที่จะให้เกิดกระบวนการพิสูจน์สิทธิให้แก่ประชาชนที่อยู่ทำกินและอาศัยมาก่อนการประกาศเป็นที่ดินของรัฐอย่างแท้จริง โดยจะกำหนดให้มีหน่วยงานที่รับผิดชอบที่ชัดเจน มีขั้นตอนการพิสูจน์สิทธิที่ดินที่เป็นธรรม โปร่งใส มีมาตรฐาน เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย จะให้มีการกำหนดระยะเวลาการตรวจสอบที่เหมาะสมไม่ล่าช้าเหมือนที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เปิดโอกาสให้ประชาชนที่เป็นเจ้าของที่ดินเดิม ผู้ยากไร้สามารถแสดงหลักฐานได้อย่างเต็มที่ โดยมิให้หน้าที่ของการเข้าถึงข้อมูลประกอบการพิสูจน์สิทธิเป็นค่าใช้จ่ายของประชาชน”

 

”ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ จึงถือได้ว่าเป็นกฎหมายสำคัญที่จะรับรองหลักการของ “ชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิม” หรือสิทธิในการดูแลจัดการ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นระบบสิทธิชุมชนตามที่รัฐธรรมนูญได้รับรองไว้ให้เกิดขึ้นจริงนั่นเองครับ“ พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง ประธานการประชุมฯ กล่าว

 

 

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ประชุมคณะกรรมาธิการฯ เสร็จสิ้นการประชุมในเวลา 17.00 น. ก่อนจะมีกำหนดการประชุมอีกครั้งในพรุ่งนี้