
21 ตุลาคม 2568 ช่วงเช้าวันนี้ ที่ โรงแรมมณีจันท์ รีสอร์ท จ.จันทบุรี เป็นวันแรกของการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทยกัมพูชา หรือ ประชุม JBC สมัยวิสามัญ นำโดย นายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย เป็นประธานกรรมาธิการฯ เป็นหัวหน้าคณะฝ่ายไทย ส่วนฝั่งกัมพูชา มีนายลัม เซีย รัฐมนตรีประจำสำนักเลขาธิการแห่งรัฐว่าด้วยกิจการชายแดน เป็นหัวหน้าคณะฝั่งกัมพูชา
ก่อนการประชุมพบ ว่า บริเวณหน้าทางเข้าโรงแรม มีมวลชนกลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย(คปท.) นำโดย นายพิชิต ไชยมงคล และนายนัสเซอร์ ยีหมะ นำมวลชน พร้อมรถปราศรัย มาชุมนุมเพื่อยื่นหนังสือ คัดค้านการประชุม JBC ในวันนี้ โดยขอให้เลื่อนการประชุมออกไปก่อน โดยมวลชนมีการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ทั้งการถือธงชาติไทย ถือป้ายข้อความแสดงจุดยืน เช่น “รวมพลังยกเลิก MOU 43-44″ ปกป้องอธิปไตยไทย ยกเลิก MOU43-44
โดยนายพิชิต บอกว่า วันนี้ไม่ได้มาคัดค้านการประชุม แต่มายื่นข้อเสนอให้ประธานคณะกรรมการ JBC ฝ่ายไทย ว่า ทางกลุ่มฯยังไม่เห็นด้วยที่จะเร่งเจรจา JBC ในโอกาสนี้ จึงขอให้เลื่อนออกไปก่อน เพราะมองว่า ก่อนหน้านี้มีการประชุม GBC เมื่อวันที่ 10 ก.ย.2568 โดยมีข้อตกลงเรื่องเก็บกู้ทุ่นระเบิดร่วมกัน คือ การถอนทหารและอาวุธ ให้กัมพูชาจะต้องปราบสแกมเมอร์ และให้กัมพูชาร่วมฟื้นฟูพื้นที่บ้านหนองจาน บ้านหนองหญ้าแก้ว แต่หลังจากการประชุม ยังไม่มีการปฏิบัติที่เป็นจริง ดังนั้น เมื่อไม่มีการปฏิบัติแล้วจะมาเร่งเจรจา JBC ไปทำไม เพราะควรจะต้องมีสภาพบังคับให้กัมพูชาสามารถปฏิบัติได้จริงก่อน
ทำให้ทางกลุ่มเห็นว่าการประชุม JBC ในวันนี้จะเป็นเงื่อนไขไปรองรับว่า การปฏิบัติของกัมพูชาเป็นไปโดยชอบ ทั้งการยิงปืนใหญ่ใส่พลเรือน ยิงปืนใหญ่ใส่โรงพยาบาล ปั๊มน้ำมัน ซึ่งเรื่องนี้จึงเป็นสิ่งที่รัฐบาลควรทำหนังสือประท้วงอย่างเป็นทางการ และกดดันรัฐบาลมากกว่านั้น
รวมถึงกรณีที่นายกฯกัมพูชาออกมาปฏิเสธ ไม่เคยมีความจริงใจในการเจรจาหยุดยิง รวมถึงข้อกล้าวหาที่ไทยใช้อาวุธเคมีไปโจมตีกัมพูชาแล้วประกาศระดมทุนนานาชาติเพื่อล้างพิษสารเคมี ซึ่งชี้ให้เห็นว่าพฤติกรรมของกัมพูชาไม่เคยเคารพประเทศไทย และไม่เคยเคารพการประชุมระหว่างไทยกับกัมพูชาเลย ดังนั้นการประชุมวันนี้จะเป็นการไปสแตมป์ความผิดและความหลอกลวงของกัมพูชามากกว่า
นายพิชิต บอกอีกว่า ขณะนี้รัฐบาลไทย โดย นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ยังไม่เคยประณามหรือประท้วงกัมพูชาอย่างเป็นทางการ โดยเฉพาะการประณามเรื่องการยิงปืนใหญ่ใส่พลเรือน ปั๊มน้ำมัน และโรงพยาบาล และเรียกร้องให้กัมพูชารับผิดชอบ และยังไม่เห็นปฏิกิริยาทางการทูตเชิงรุกของรัฐบาลไทยเลย
ดังนั้น นายอนุทิน ควรจะกดดันให้กัมพูชารับผิดชอบพื้นที่บ้านหนองจาน บ้านหนองหญ้าแก้ว ของกัมพูชาไม่ควรให้ประชาชนทะเลาะกับประชาชน แต่ควรเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีกัมพูชา รับผิดชอบประชาชนกัมพูชา ด้วยการนำประชาชนชาวกัมพูชาถอนไปในพื้นที่ประเทศของตัวเอง ไม่เช่นนั้นจะเป็นการเดิมตามเกมของนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่ปล่อยให้ประชาชนหรือทหารในคราบประชาชนมาทะเลาะกับทางการไทย และจะกลายเป็นสงครามประชาชน ดังนั้นรัฐบาลไทยควรเรียกร้องรัฐบาลกัมพูชาให้รับผิดชอบประชาชนของตัวเอง
เมื่อถามว่า การประชุมในครั้งนี้เป็นการประชุมวาระพิเศษที่จะพูดเรื่องบ้านหนองจาน บ้านหนองหญ้าแก้ว และชี้แจงการสร้างรั้วชายแดน นั้น นายพิชิต ระบุว่า บ้านหนองจาน บ้านหนองหญ้าแก้ว ควรกดดันไปมากกว่านี้ รวมถึงการสร้างรั้ว จะไปสร้าวรั้วได้อย่างไรในเมื่อยังมีทุ่นระเบิด ยังอยู่ตามแนวชายแดน ดังนั้นสิ่งที่ควรเริ่มต้นที่แสดงความจริงใจ คือ กัมพูชาจะต้องปฏิบัติตามมติที่ประชุม GBC ก่อน แล้วค่อยมาพูดถึงการสร้างรั้ว
ส่วนที่การประชุมวันนี้ ยังคงยืนยันในข้อเรียกร้อง 4 ข้อ นั้น นายพิชิต บอกว่า ก็ขอทักท้วงไปก่อน เพราะวันนี้มีการประชุมทั้ง 2 ที่ทั้งไทยและมาเลเซีย เพราะถ้ายังประชุมดื้อดึงกันอยู่แบบนี้ ตนเองมองว่าจะเป็นการใช้เวลาการประชุมเพื่อถ่วงเวลาการปฏิบัติ
“ในทางทหารไม่มีการประชุมเลย แต่มีการกดดันให้กัมพูชาปฏิบัติตามมติที่ประชุม แต่ระดับการเมืองกลับไปเร่งการประชุมเหมือนเราไปเดินตามเกมกัมพูชา โดยกัมพูชาใช้เวทีการประชุม เพื่อถ่วงเวลาในการปฏิบัติการทางทหารมากกว่า”
โดยการยื่นหนังสือในครั้งนี้ นายมนต์สิทธิ์ ไพศาลธนวัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี พร้อมด้วยตำรวจ เป็นตัวแทนมารับหนังสือแทน โดยรับปากว่า จะนำหนังสือข้อเรียกร้องของกลุ่ม คปท. ไปส่งให้ นายประศาสน์ พร้อมย้ำว่า ทุกคนมีความห่วงใยประเทศเช่นเดียวกัน
ขณะเดียวกัน พบว่า ระหว่างที่ กลุ่ม คปท. รวมตัวแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ มีรถตู้ของคณะผู้แทนกัมพูชา ได้ขับเข้าผ่านกลุ่มมวลชน ปรากฏว่ากลุ่มมวลชนไทย ได้ส่งเสียงโห่ต้อนรับ โดยไม่มีความวุ่นวายใดๆ และการเคลื่อนไหวครั้งนี้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย
โดยการรวมตัวของมวลชนครั้งนี้ เจ้าหน้าที่จัดพื้นที่ให้กลุ่มมวลชน สามารถแสดงออกได้บริเวณด้านหน้าโรงแรม ท่ามกลางการดูแลรักษาความปลอดภัยของ เจ้าหน้าที่ตำรวจจังหวัดจันทบุรีกว่า 2 กองร้อยที่เป็นไปอย่างเข้มงวด