
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวแสดงวิสัยทัศน์ภายหลังที่ประชุมใหญ่พรรคประชาธิปัตย์ มีมติให้กลับมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ คนที่ 10 โดยได้ขอบคุณสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ที่ให้ความไว้วางใจ ให้กลับมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งตนมั่นใจว่า พรรคประชาธิปัตย์ เป็นพรรคการเมืองเดียวที่มีกระบวนการเลือกตั้ง ให้ผู้ที่ได้รับการเลือกสำนึกเสนอว่า การดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคฯ เป็นได้ เพราะความยินยอมพร้อมใจของสมาชิกพรรค ซึ่งตนมั่นใจว่า ไม่มีพรรคการเมืองอื่นที่มีกระบวนการนี้ จึงขอขอบคุณสมาชิกพรรค ที่ยังยืนยันว่า ในประเทศไทยยังมีพรรคการเมืองที่เป็นประชาธิปัตย์ พร้อมขอบขอบคุณรักษาการกรรมการบริหารพรรคฯ เจ้าหน้าที่พรรคและอาสาสมัคร ที่พยายามให้การเลือกตั้งในวันนี้ (18 ต.ค.) เป็นไปอย่างราบรื่น ภายใต้ระเบียบพรรคฯ
นายอภิสิทธิ์ ยังขอบคุณนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่แม้วันนี้ (18 ต.ค.) จะไม่ได้อยู่ในนายที่ประชุม แต่ก็ขอให้ทีประชุมปรบมือให้กับนายเฉลิมชัย เพราะแม้ว่า ตนและนายเฉลิมชัย จะคิดต่างกันในบางเรื่องบางครั้งบางคราว แต่ตนไม่เคยตั้งคำถามถึงความทุ่มเทของนายเฉลิมชัย ที่มีให้กับสมาชิกพรรคฯ และเชื่อว่า สส.ของพรรค และอดีตผู้สมัคร สส. รวมถึงสาขาพรรคฯ จะเป็นพยานถึงความทุ่มเทของนายเฉลิมชัย
นายอภิสิทธิ์ ยังบอกว่า ''สจฺจํ เว อมตา วาจา'' (สัจจังเว อมตวาจา) ซึ่งเป็นข้อความที่ปรากฏในสัญลักษณ์พรรค ที่พิสูจน์แล้วว่า กาลเวลาเป็นสิ่งไม่ตาย และเวลาพิสูจน์ความจริง ซึ่ง 2 ปีที่แล้ว ตนใส่เสื้อเชิ้ตตัวที่ตนใส่นี้ และได้ประกาศลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ แต่ที่ก่อนตนจะลาออก ตนได้บอกแล้วว่า ตนไม่มีพรรคการเมืองอื่น และจะไม่ไปพรรคการเมืองอื่น กรีดเลือดออกมาก็เป็นเลือดสีฟ้า และจะยึดอุดมการณ์พรรคประชาธิปัตย์ รับใช้ประชาชน และประเทศชาติ พร้อมเล่าย้อนไปถึง 30 ปีที่แล้ว ที่ตนเป็น สส.สมัยแรกมีผู้ที่ถามตนว่า จะย้ายพรรคหรือไม่ แต่ตนก็ยืนยันตั้งแต่ตนอายุ 27 ปีว่า ตนยึดพรรคการเมืองเดียว และในวันนี้ ตนก็ยังคงยืนยันคำพูดนั้น จึงขอให้มั่นใจได้ว่า ในยุคที่นักการเมือง 3 ชั่วโมงเปลี่ยนคำพูด แต่ตนเป็นลูกพระแม่ธรณี ตนจะยึดสัจจะ และความซื่อสัตย์ตลอดไป และยามใดที่ตนหยุด หรือไม่อยู่ในพรรค ก็พร้อมกลับมาเสมอ หากสมาชิกพรรคฯ เห็นว่า ตนกลับมาทำหน้าที่ได้ เหมือนสถานการณ์ในวันนี้ที่ทุกคนหวั่นไหวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และความเสียเปรียบของพรรคฯ ซึ่งทุกคนทราบดีว่า ตนมาเที่ยวนี้ไม่มีกำไร มากที่สุดคือเสมอตัว และมีโอกาสขาดทุนมากที่สุด แต่ตนก็ระลึกเสมอว่า ชีวิตตนมาถึงขนาดนี้ได้ เพราะพรรคประชาธิปัตย์ จะลำบาก หรือขาดทุน ตนก็ต้องกลับมา เพื่อให้พรรคการเมืองนี้อยู่คู่ประเทศไทยให้ได้
นายอภิสิทธิ์ ยังยืนยันว่า ตนไม่ได้คิดเฉพาะเรื่องพรรคฯ แต่ตนก็เป็นหนี้ประเทศและแผ่นดินนี้ที่เติบโตมา แม้เคยใช้ชีวิตในต่างประเทศ แต่ก็ทราบดีว่า ประเทศนี้ มีอะไรดี ๆ มากมาย ซึ่งประเทศไทย เป็นประเทศที่ตนรักและตนรักที่สุด เพราะไม่ว่าคนไทยจะบ่นประเทศไทยอย่างไร แต่คนต่างชาติ ยังเห็นคุณค่าประเทศไทย ตนจึงต้องใช้หนี้แผ่นดินนี้เหมือนที่ต้องชดใช้หนี้ให้กับพรรคประชาธิปัตย์
นายอภิสิทธิ์ ยังเห็นว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจติดหล่ม สังคมเหลื่อมล้ำ ความยุติธรรมหดหาย หลายปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นคนภายนอกมองประเทศไทย หรือการสัมผัสกับความเป็นจริงของประชาชน ทุกคนห่วงใยว่า ประเทศไทย จะเดินต่อแบบนี้ไม่ได้ ซึ่งปีสุดท้ายที่พรรคประชาธิปัตย์ เป็นแกนนำรัฐบาล เมื่อปี 2554 เป็นปีแรกที่เศรษฐกิจ ขยับเป็นประเทศรายได้ปานกลางขั้นสูง แต่เวลาผ่านไป 14 ปี ในแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี กลับไม่มีใครมั่นใจว่า ประเทศจะขยับไปอีกขั้นได้เมื่อใด ซึ่งการเติบโตเศรษฐกิจที่รัฐบาลคาดหวังเพียง 2% นั้น ยังไม่เพียงพอ และปัจจุบันลุ้นได้แค่เพียง ''คนละครึ่งพลัส'' กระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น ๆ และเหลือทิ้งไว้เพียงหนี้รัฐบาลที่เพิ่มขึ้น รวมถึงประเทศไทย ยังก้าวเข้าสู่สังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์แบบ ชีวิตคนหนุ่มสาวขาดความมั่นคง ซึ่งทุกคนล้วนต้องการมีสวัสดิการที่ดีทั้งสิ้น แต่การเมืองกลับกำลังจะหลอกสังคมที่จะยื่นสวัสดิการให้ ทั้งที่อัตราการจัดเก็บภาษีต่ำ และการผูกขาดทั้งเศรษฐกิจ และการเมือง นับวันก็มีความแน่นแฟ้นมากขึ้น ซึ่งตนจะดูดายให้ประเทศเดินต่อไปอย่างนี้ไม่ได้
นายอภิสิทธิ์ ยังเห็นว่า การเมืองไทยที่ผ่านมา ฉุดรั้งไม่ให้ประเทศไทยเดินไปข้างหน้า ดังนั้น การที่ตนนำคนรุ่นใหม่เข้ามาทำงานในพรรคฯ เพราะประเทศขณะนี้ ต้องการเครื่องจักรใหม่ให้เศรษฐกิจประเทศเดินต่อไปได้ และจะใช้บุญเดิมจากอดีตไม่ได้ ซึ่งภาคการเกษตรปัจจุบันประเทศไทย ก็เดินตามประเทศเพื่อนบ้าน, ภาคอุตสาหกรรมไทย ค่าแรงสู้เพื่อนบ้านไม่ได้, ภาคการท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวจีนหายไปครึ่งหนึ่ง เศรษฐกิจของประเทศก็เดือดร้อน ดังนั้น ประเทศไทยจึงต้องมีเครื่องจักรใหม่ ตนจึงเชิญนางการดี เลี่ยวไพโรจน์ มาร่วมงาน เพื่อนำเทคโนโลยีมาชี้นำเศรษฐกิจประเทศ ซึ่งแม้คนไทยใช้เทคโนโลยีเก่ง และใช้เทคโนโลยีการโอนเงินเป็นประเทศต้น ๆ ของโลก แต่เศรษฐกิจดิจิทัลของไทยกลับยังมีน้อยมาก ซึ่งตนไม่อยากให้พรรคการเมือง คิดได้แค่นโยบายที่ฟังดูแล้วถูกใจ มีเงินในกระเป๋าเพิ่มชั่วคราวและติดหล่มกันต่อ จึงต้องใช้เทคโนโลยีเป็นตัวนำ ซึ่งหากเกษตรกรไทย ที่เคยขาดโอกาส แต่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ ๆ ทั้งการใช้โดรน หรือระบบอัจฉริยะทั้งหลายมาช่วยเพิ่มผลผลิตภาคการเกษตร ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ผลผลิตจะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล และไม่ถูกกีดกันจากต่างชาติ ตนจึงเชิญนายวีรพงษ์ ประภา มาร่วมงาน เพราะตนเชื่อว่า คนรุ่นใหม่ต้องการขายความคิด ขายความสร้างสรรค์ ไม่ต้องไปเป็นลูกจ้าง แต่ต้องการความมั่นคง ตนจึงเชิญนายจูรี นุ่มแก้ว มาร่วมงานด้วย ซึ่งทั้งหมดเป็นโจทย์ที่ตน และทีมงานรุ่นใหม่ จะสร้างโอกาสและความมั่นคงให้คนรุ่นใหม่ที่จะเติบโตมา แต่ทั้งหมดการเมืองจะต้องเปิดประตู มีการแข่งขันนโยบาย มีกรอบอุดมการณ์รองรับ
นายอภิสิทธิ์ ยังยืนยันว่า หลังจากนี้ตนจะไม่ทำให้ประชาธิปัตย์ ต้องตกอยู่ในวังวนวาทกรรมว่า จะเป็นจะเป็นพรรคอนุรักษ์นิยม ประชาธิปไตย หรือกั๊กจะเป็นอนุรักษ์ก้าวหน้า เพราะพรรคประชาธิปัตย์ ประกาศอุดมการณ์ตั้งแต่ปี 2489 ว่า พรรคประชาธิปัตย์ เป็นต้นตำรับพรรคเสรีประชาธิปไตยในประเทศไทย และวันนี้ตนไม่ต้องการให้พรรคประชาธิปัตย์ เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการนำสถาบันพระมหากษัตริย์ เข้ามาอยู่ในวังวนความขัดแย้งการเมือง กล่าวหาฝ่ายหนึ่งว่าล้ม หรือกล่าวหาอีกฝ่ายหนึ่งว่าโหน เพราะสถาบันฯ คือศูนย์รวมจิตใจของคนไทยที่ต้องอยู่เหนือการเมืองไม่ว่าสังคมจะมีการเมืองแตกต่างกันอย่างไร และต้องไม่นำกองทัพและการทูตเข้ามาเป็นประเด็นทางการเมือง พรรคการเมืองไม่อคติต่อกองทัพ และกองทัพที่ปกป้องแผ่นดินอย่างเข้มแข็งรัฐบาลจะไปโหนไม่ได้ แต่ต้องสนับสนุนด้วยการดำเนินนโยบายดำเนินนโยบายการทูตเชิงรุก เพื่อให้กองทัพทำหน้าที่ได้อย่างสบายใจ และไม่ควรนำเรื่องความมั่นคงของประเทศ และนโยบายการต่างประเทศมาเสี่ยง ผลักภาระให้ประชาชนลงประชามติ โดยเฉพาะในสิ่งที่คนที่คิดให้ถามประชามติ เข้าใจแล้วหรือยัง
นายอภิสิทธิ์ ยังเห็นว่า จะปล่อยให้การเมืองที่ฉุดรั้งทุกสิ่งอย่างจากการทุจริตคอร์รับชัน เดินต่อไปไม่ได้ เพราะถ้าประชาธิปไตยไม่ได้เริ่มต้นจากการเลือกตั้งอย่างสุจริต เที่ยงธรรม แต่ประมูลซื้อเสียง ซื้อ สส. และคอร์รับชั่นกัดเซาะทุกองค์กร จนทำลายความไว้วางใจของสังคม และนำไปสู่กติกาที่ซับซ้อน เพื่อพยายามแก้ไขทุจริต แต่กลายเป็นการเปิดช่องให้มีการทุจริตในช่องทางใหม่ไม่จบไม่สิ้น ดังนั้น วันนี้จะต้องผลักดันความซื่อสัตย์ และการบริหารบ้านเมืองที่สุจริตให้กลับมาให้ได้ และคนยืนยันมาตลอดว่า ความรับผิดชอบทางการเมือง สูงกว่าความรับผิดชอบทางกฎหมาย เพราะจริยธรรมเป็นเรื่องสำคัญ แต่จริยธรรมจะต้องไม่เป็นอาวุธทางการเมืองมาทำลายฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ประชาธิปัตย์ พ.ศ.2489 จนถึงปัจจุบัน ชัดเจนในเรื่องเหล่านี้ทั้งหมด
นายอภิสิทธิ์ ยังย้ำถึงอุดมการณ์พรรคประชาธิปัตย์ 10 ข้อว่า ตนอ่านทุกครั้ง ขนลุกทุกครั้ง ทั้งการกระจายอำนาจ เศรษฐกิจเสรีที่รัฐต้องแทรกแซงเพื่อความยุติธรรมในสังคม ที่ทันสมัย สอดคล้องกับความต้องการของคนในประเทศ แม้จนถึงทุกวันนี้ และเป็นหลักประกันการเมืองโปร่งใส ไม่ทรยศต่อประชาชน มีเศรษฐกิจที่มีความเชื่อมั่น ยั่งยืน และสังคมเกื้อกูลกัน
นายอภิสิทธิ์ ยังเห็นว่า โจทย์ที่ใหญ่กว่าว่า พรรคประชาธิปัตย์ จะมี สส.กี่คน แต่ปัญหาทั้งหมดเป็นหน้าที่พรรคการเมือง ที่หากพรรคฯ แก้ไขได้พรรคประชาธิปัตย์จะอยู่คู่ประเทศไทย และเป็นหลัก เป็นความหวังให้ประชาชนทั้งประเทศอีกครั้งแม้จะเป็นเส้นทางที่เหนื่อย เหมือนการเลือกกรรมการบริหารพรรคฯ ในวันนี้ที่พรรคมีหลักการ เพื่อยืนยันว่า ทุกคนที่เป็นเจ้าของพรรค ต้องมีที่ยืนในกรรมการบริหารพรรค และสิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่ประชาชนกำลังต้องการ และประชาชนกำลังโหยหาทางเลือก และเบื่อหน่ายกับพรรคการเมือง ที่มีไว้เพื่อแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ ดีลลับสับปลับวันเว้นวัน แต่ต้องการการเมืองที่เข้ามาแก้ปัญหาประชาชนอย่างแท้จริง ซึ่งสถานการณ์ในวันนี้เป็นโจทย์หนัก เพราะหากเป็นตามกำหนดการอีกไม่กี่เดือนก็ต้องเลือกตั้ง ซึ่งหลายคนเครียด และมาบอกตนว่า กำลังกังวล สส.ที่จะย้ายพรรค ดังนั้น ตนเป็นนักการเมืองมา 30 ปี ตนเข้าใจเหตุผลที่หลากหลายขอทุกคน จึงไม่เครียด เพราะถ้าประชาธิปัตย์ จะอยู่คู่ประเทศไทย ก็จะต้องสร้างคนรุ่นใหม่อย่างต่อเนื่อง ถ้าสมาชิกใหม่พร้อมต่อสู้ภายใต้อุดมการณ์ที่เหน็ดเหนื่อย ก็เป็นกำลังสำคัญให้พรรคอยู่ต่อไปได้
นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวถึงงานอดิเรกของตนเอง โดยพาดพิงพรรคการเมืองที่พยายามดูด สส.ด้วยอำนาจเงิน และอำนาจรัฐว่า ตนดูบอลอังกฤษ ระวังศูนย์หน้าฟอร์มดี ๆ ค่าตัวแพงที่สุด ย้ายสโมสรแล้ว กลับยิงไม่ได้ซักประตู และงานอดิเรกของนอีกอย่างหนึ่ง คือการฟังเพลงสากล ที่ปัจจุบันตนกลับมาสะสมแผ่นเสียง และเพิ่งซื้อแผ่นเสียงเทเลย์ สวิฟ แผ่นล่าสุด ที่เทเลย์ มีคำคมบอกว่า แก้วที่แตกจะมีความคมมากขึ้น ฉะนั้น ใครที่กำลังจะมาทุบประชาธิปัตย์ เหมือนกำลังทุบแก้วให้แตก ตนจะบอกว่า ถ้าทุบเสร็จ ตนจะนำความคมของแก้วที่แตก ไปตัดวงจรอุบาทว์การซื้อเสียงและการคอร์รับชันในประเทศไทย ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ จะต้องสู้ด้วยหัวใจ
นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวถึงงานอดิเรกที่ 3 ว่า ตนเองชอบแหย่ และทะเลาะกับ AI ซึ่งเมื่อคืน ตนถาม AI ว่า ถ้าตนอยากได้สัญลักษณ์ของความซื่อสัตย์ สัจจะ ปราบอธรรม ปราบมาร และสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ ซึ่ง AI ได้ออกแบบมาให้ 4 แบบ แต่ไม่สามารถตอบโจทย์ได้ ตนจึงถาม AI ว่า เคยคิดถึงพระแม่ธรณีบีบมวยผมหรือไม่ เพราะพระแม่ธรณี คือพยานของความซื่อสัตย์ และสัจจะ ในวันที่มารมาผจญกับพระพุทธเจ้าตอนตรัสรู้ และน้ำที่บีบออกจากมวยผม ได้ชำระล้างจนพญามารหนี และน้ำนำมาสู่ความอุดมสมบูรณ์ ซึ่ง AI ก็ยังไม่ยอมแพ้บอกว่า จะต้องไปออกแบบสัญลักษณ์ให้ทันสมัย ตนจึงขอสมาชิกพรรคว่า อย่าหวั่นไหว เพราะตนกลับมาก๊มีผู้ปรามาสว่า เป็นเหล้าเก่าขวดเก่า แต่ตนเห็นว่า สัญลักษณ์พระแม่ธรณี และข้อความสัจจังเว อมตวาจา คือคำตอบของยุคสมัยนี้อย่างนี้จริง แต่ผู้ที่จะทำให้เกิดขึ้นได้ให้ทันสมัยจริง ก็คือสมาชิกพรรคฯ พร้อมขอเชิญชวนประชาชนที่เบื่อการเมืองที่เกิดขึ้นในทุกวันนี้มาร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์ แม้จะไม่ง่ายแต่ก็ขอให้มาช่วยกัน เพราะไม่เพียงเป้าหมายเฉพาะหน้า แต่เพื่อทำให้ประเทศเจริญก้าวหน้า เพื่อคนไทยทุกคนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น