svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

สติธร ชี้คนละครึ่งพลัส เมื่อคะแนนเสียง เดินคู่สิทธิขั้นพื้นฐาน

"สติธร" ชี้รัฐสวัสดิการกับการเลือกตั้ง รัฐบาลเตรียมเปิดตัว โครงการ "คนละครึ่งพลัส" เมื่อ "คะแนนเสียง" เดินคู่กับ "สิทธิขั้นพื้นฐาน"

11 ตุลาคม 2568 ฝ่ายวิชาการ สโมสรนิสิตรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีการจัดเสวนาในหัวข้อ “นายกหนู แล้วสวัสดิการหนูล่ะ?” โดยเป็นการเปิดพื้นที่ให้พูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมา ระหว่างนิสิต นักวิชาการ และประชาชนทั่วไป ถึงคำถามที่ดูเหมือนง่ายแต่สะท้อนโจทย์ใหญ่ของการเมืองไทยว่า เรากำลังอยู่ในสังคมที่มอง “สวัสดิการ” เป็นสิทธิของประชาชน หรือเป็นเพียงเครื่องมือหาเสียงของรัฐบาลกันแน่? เมื่อ  9 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา

ดร.สติธร ธนานิธิโชติ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า คำถามนี้ยิ่งทวีความสำคัญในเวลาที่ รัฐบาลเตรียมเปิดตัว โครงการ “คนละครึ่งพลัส” เพื่อบรรเทาปัญหาค่าครองชีพและกระตุ้นเศรษฐกิจจากฐานราก ซึ่งได้รับความสนใจจากประชาชนทั่วประเทศ ขณะเดียวกันก็จุดประกายการถกเถียงว่า สวัสดิการในลักษณะนี้สะท้อนวิสัยทัศน์ระยะยาวของรัฐบาลอย่างไร และจะสามารถต่อยอดไปสู่ระบบสวัสดิการถ้วนหน้าได้จริงหรือไม่

โดยเฉพาะในโลกการเมืองยุคใหม่ที่ “รัฐสวัสดิการ” ไม่ได้เป็นเพียงนโยบายด้านสังคมอีกต่อไป หากแต่กลายเป็น “สนามแข่งขันทางการเมือง” ที่พรรคการเมืองใช้วัดศักยภาพและความไว้วางใจจากประชาชน การเลือกตั้งในหลายประเทศสะท้อนชัดว่า นโยบายสวัสดิการคือหัวใจสำคัญของการสร้างความนิยม (popularity) และความชอบธรรมทางการเมือง (political legitimacy)

ปรากฏการณ์เหล่านี้จึงชวนให้ตั้งคำถามว่า เหตุใดสวัสดิการจึงกลายเป็นหัวใจของการเมืองการเลือกตั้งยุคปัจจุบัน พรรคการเมืองแข่งขันกันอย่างไรในประเด็นนี้ และอะไรทำให้บางประเทศสามารถสร้างระบบสวัสดิการที่ยั่งยืนกว่าประเทศอื่น?

การสำรวจงานศึกษาล่าสุดจากยุโรป เอเชีย และประเทศไทย อาจช่วยฉายภาพพลวัตของ “การเมืองแห่งสวัสดิการ” ที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปพร้อมกับความคาดหวังของประชาชนในโลกปัจจุบัน 

ดร.สติธร ธนานิธิโชติ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ยุโรป: การแข่งขันและการปรับตัวในสนามสวัสดิการ
 

ในยุโรปตะวันตก งานวิจัยหลายชิ้นได้เปิดมุมมองสำคัญว่า การแข่งขันทางการเมืองในประเด็น “รัฐสวัสดิการ” ไม่ได้เป็นเพียงการถกเถียงเชิงนโยบาย แต่คือกลไกสำคัญในการสร้างฐานเสียงและความชอบธรรมของพรรคการเมือง โดยเฉพาะประเด็น “การดูแลสุขภาพ” ซึ่งทุกพรรคให้ความสำคัญ เพราะเป็นเรื่องที่สะท้อน “ความเสี่ยงในวัฏจักรชีวิต” ที่ทุกคนต้องเผชิญ ตั้งแต่เกิด เจ็บป่วย ไปจนถึงวัยชรา ไม่ว่าจะอยู่ฝ่ายซ้ายหรือขวา การพูดถึงสุขภาพจึงกลายเป็น “ภาษากลางทางการเมือง” ที่เข้าถึงผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งได้กว้างที่สุด

ในทางกลับกัน ประเด็นอย่าง “การคุ้มครองแรงงาน” ยังคงเป็นสนามการเมืองเชิงอุดมการณ์ พรรคการเมืองฝ่ายซ้ายมักยึดแนวทางคุ้มครองแรงงานและลดความเหลื่อมล้ำ ส่วนพรรคการเมืองฝ่ายขวา โดยเฉพาะพรรคขวาจัด มักให้ความสำคัญกับเรื่องนี้น้อยกว่า โดยมองว่าการคุ้มครองแรงงานมากเกินไปอาจกระทบเสรีภาพของตลาดแรงงาน

ด้วยเหตุนี้ พรรคการเมืองในยุโรปยุคปัจจุบันจึงมักเลือกเสนอนโยบายที่ “ทุกคนรู้สึกว่ามีส่วนได้ส่วนเสีย” เพราะให้ผลตอบแทนทางการเมืองสูงกว่า และช่วยสร้างภาพลักษณ์ของการเป็นพรรคการเมืองที่ “ใส่ใจประชาชน” มากกว่าการยึดติดกับการต่อสู้ทางอุดมการณ์เพียงอย่างเดียว

คำถามต่อมาคือ เหตุใด “การเมืองเรื่องสวัสดิการ” จึงเปลี่ยนทิศทางไปเช่นนี้?
 

งานวิจัยใหม่ ๆ ในยุโรปบ่งชี้ว่า ในช่วงทศวรรษ 1980s–1990s การพูดถึงสวัสดิการในการหาเสียงถือเป็นสัญญาณของการขยายสิทธิและความเท่าเทียม โดยเฉพาะเมื่อรัฐบาลเป็นฝ่ายซ้าย เพราะผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งในยุคนั้นยังเชื่อมโยง “รัฐสวัสดิการ” กับ “ความยุติธรรมทางสังคม” พรรคการเมืองที่ประกาศจะเพิ่มงบสวัสดิการหรือสร้างหลักประกันใหม่จึงมักได้รับแรงสนับสนุนอย่างล้นหลาม

แต่เมื่อก้าวเข้าสู่ช่วงกลางทศวรรษ 1990 เป็นต้นมา บรรยากาศกลับเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง การพูดถึงสวัสดิการไม่ได้หมายถึง “การขยาย” อีกต่อไป แต่กลับสัมพันธ์กับ “การปรับลด” มากขึ้น เนื่องจากรัฐบาลต้องเผชิญแรงกดดันจากงบประมาณจำกัด ประชากรสูงวัยเพิ่มขึ้น และโครงสร้างตลาดแรงงานที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว การเมืองในยุคนี้จึงไม่ใช่การแข่งขันว่า “ใครแจกมากกว่า” หากแต่เป็น “ใครจะปรับโครงสร้างได้โดยไม่ถูกตำหนิ”

นี่คือสิ่งที่นักวิชาการเรียกว่า “New Politics of the Welfare State” หรือการเมืองที่พรรคการเมืองทุกสีต้องเดินอยู่บนเส้นบาง ๆ ระหว่าง “ประชานิยมที่ซื้อใจประชาชน” กับ “ความรับผิดชอบทางการคลังที่ซื้อความเชื่อมั่นจากตลาด”
 

อินเดีย: เมื่อคนจนกลายเป็นพลังทางการเมือง
 

หันมามองการเมืองในเอเชีย อินเดียถือเป็นตัวอย่างคลาสสิกของสิ่งที่ในวงวิชาการเรียกว่า “การเมืองของคนยากจน (Politics of the Poor)” เพราะพลังของผู้มีรายได้น้อย ซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ ได้กลายเป็นฐานอำนาจสำคัญที่กำหนดทิศทางของการเลือกตั้งและนโยบายสาธารณะ

ความเปลี่ยนแปลงเริ่มต้นในช่วงต้นทศวรรษ 2000 เมื่อทุกพรรคการเมืองตระหนักว่า “คะแนนเสียงของคนจน” คือปัจจัยตัดสินผลเลือกตั้ง พรรคคองเกรส (Congress Party) ภายใต้พันธมิตร United Progressive Alliance (UPA) จึงผลักดัน โครงการรับประกันการจ้างงานในชนบทแห่งชาติ (NREGA) เพื่อรับประกันการมีงานทำอย่างน้อย 100 วันต่อปีให้กับครัวเรือนในชนบท

นโยบายนี้ไม่เพียงสร้างรายได้ แต่ยังเปลี่ยนวิธีคิดของรัฐต่อความยากจน จากการ “ให้ความช่วยเหลือ” ไปสู่ “การสร้างสิทธิ” ที่ประชาชนสามารถเรียกร้องได้ตามกฎหมาย ความสำคัญของคนจนในทางการเมืองทำให้แม้แต่พรรคฝ่ายค้านก็ไม่กล้าคัดค้าน กลับเลือกแข่งขันกันเสนอให้ขยายสิทธิออกไปมากกว่าเดิม เพื่อแสดงความใส่ใจต่อฐานเสียงขนาดใหญ่ของประเทศ

ผลลัพธ์คือ ร่างกฎหมายผ่านอย่างเป็นเอกฉันท์ในรัฐสภาอินเดีย เหตุการณ์หายากที่ทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้านเห็นพ้องต้องกันว่า “สวัสดิการ” คือหัวใจของเสถียรภาพทั้งทางการเมืองและความมั่นคงภายในประเทศ อินเดียจึงกลายเป็นกรณีตัวอย่างชัดเจนของสังคมที่ “คนจนไม่ใช่ภาระ แต่คือพลังทางการเมือง” ที่ผลักให้รัฐต้องรับผิดชอบต่อสัญญาทางสังคมของตนอย่างแท้จริง

สติธร ชี้คนละครึ่งพลัส เมื่อคะแนนเสียง เดินคู่สิทธิขั้นพื้นฐาน
 

อินโดนีเซียและไทย: สองเส้นทางของการขยายสวัสดิการ
 

ในประเทศไทย การเกิดขึ้นของ ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือที่รู้จักกันในชื่อ “30 บาทรักษาทุกโรค” ไม่ได้เป็นเพียงผลลัพธ์ของแรงผลักทางเทคนิคด้านสาธารณสุขเท่านั้น หากแต่เกิดจาก แรงจูงใจทางการเมืองโดยตรง

ภายหลังรัฐธรรมนูญปี 2540 ที่เปลี่ยนกติกาการเลือกตั้งให้พรรคการเมืองต้องแข่งขันกันในระดับชาติและตอบสนองต่อผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งส่วนใหญ่ พรรคไทยรักไทย ภายใต้การนำของ ทักษิณ ชินวัตร จึงใช้นโยบายนี้เป็น “นโยบายธงนำ” ในการเลือกตั้งปี 2544 โดยยึดแนวคิดว่า “สุขภาพคือสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน”

ความกล้าที่จะเสนอและผลักดันนโยบายขนาดใหญ่เช่นนี้สร้างแรงดึงดูดมหาศาลในหมู่ผู้มีรายได้น้อย ส่งผลให้พรรคชนะเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย และเมื่อขึ้นสู่อำนาจ รัฐบาลได้ผลักดันโครงการอย่างเร่งด่วนและต่อเนื่อง จนกลายเป็น สัญลักษณ์ของรัฐสวัสดิการแบบไทย ที่เชื่อมโยง “สิทธิพลเมือง” เข้ากับ “คะแนนเสียง” อย่างชัดเจน

ตรงกันข้าม อินโดนีเซียต้องใช้เวลาถึงสิบปีเต็ม กว่าระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า Jaminan Kesehatan Nasional (JKN) จะเกิดขึ้นจริงในปี 2014 ทั้งที่ผ่านกฎหมายตั้งแต่ปี 2004 ความล่าช้านี้สะท้อนข้อจำกัดของ “การเมืองแห่งการขยายสวัสดิการ” ที่ขับเคลื่อนด้วยผลประโยชน์ของชนชั้นนำมากกว่าความต้องการของประชาชน ซึ่งปรากฏผ่านสองกลไกสำคัญ

กลไกแรก คือ กลไกแบบอุปถัมภ์ ที่นโยบายสวัสดิการกลายเป็นเครื่องมือแย่งชิงอิทธิพลทางการเมืองระหว่างส่วนกลางกับท้องถิ่น การประกาศใช้กฎหมายจึงเกิดขึ้นเมื่อมีการจัดสรรตำแหน่งสำคัญให้กลุ่มอนุรักษนิยมที่ต้องการคงอำนาจไว้ ขณะที่รัฐบาลท้องถิ่นหลายแห่งไม่ยอมรวมโครงการสุขภาพในพื้นที่เข้ากับระบบกลาง เพราะมองว่า “สุขภาพ” คือ สินทรัพย์ทางการเมือง ที่ใช้สร้างคะแนนเสียงได้โดยตรง

ระบบสุขภาพจึงกลายเป็นทั้ง เครื่องมือทางสังคมและทางการเมือง ผ่านเครือข่าย “โบรกเกอร์ท้องถิ่น” ที่แลกการเข้าถึงบริการกับการสนับสนุนในการเลือกตั้ง

กลไกที่สอง คือ กลไกพันธมิตรแนวดิ่ง ซึ่งอธิบายว่าการปฏิรูปสวัสดิการจะเกิดขึ้นได้ เมื่อมีพันธมิตรระหว่างนักการเมืองหัวก้าวหน้า ข้าราชการ และภาคประชาสังคม แม้ไม่ครอบคลุมในวงกว้าง แต่มีพลังเพียงพอในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรม

กรณีของไทยสะท้อนกลไกนี้อย่างชัดเจน เพราะนโยบาย “30 บาทรักษาทุกโรค” เกิดจาก พันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์ ระหว่างผู้นำทางการเมืองในพรรคไทยรักไทยกับข้าราชการระดับสูงในกระทรวงสาธารณสุข ที่เชื่อมั่นในหลัก “สุขภาพเป็นสิทธิของประชาชน” ความร่วมมือดังกล่าวทำให้การออกแบบนโยบายมีความพร้อมทั้งทางเทคนิคและทางการเมือง ส่งผลให้สามารถขับเคลื่อนเข้าสู่ระบบได้อย่างรวดเร็วหลังการเลือกตั้ง

ต่างจากอินโดนีเซียที่เผชิญความแตกแยกของชนชั้นนำและการต่อรองผลประโยชน์ภายใน กลไกแนวดิ่งของไทยได้สร้าง “พันธมิตรขนาดเล็กแต่ทรงพลัง” ที่มีเป้าหมายร่วมกันในการผลักดันนโยบายถ้วนหน้าให้เป็นจริง ผลลัพธ์คือ ระบบหลักประกันสุขภาพของไทยสามารถขยายครอบคลุมประชาชนส่วนใหญ่ได้ภายในเวลาไม่กี่ปี กลายเป็นต้นแบบของ “การปฏิรูปที่ขับเคลื่อนโดยพันธมิตรแนวดิ่ง” ซึ่งผสมผสานพลังทางการเมืองเข้ากับความเชี่ยวชาญทางราชการได้อย่างมีประสิทธิภาพ

บทเรียนจากสองประเทศนี้ชี้ว่า การขยายสวัสดิการจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อผู้นำทางการเมืองมองเห็น “คุณค่าในการเลือกตั้ง” ของมัน แต่ความแตกต่างคือ ไทยมีโครงสร้างทางการเมืองและระบบราชการที่เปิดรับการเปลี่ยนแปลง ในขณะที่อินโดนีเซียต้องอาศัยการต่อรองยืดเยื้อเกือบทศวรรษกว่าจะบรรลุเป้าหมายเดียวกัน
 

บทสรุป: รัฐสวัสดิการในฐานะ “การเมืองของความหวัง”
 

จากยุโรปถึงเอเชีย “รัฐสวัสดิการ” ได้กลายเป็นเวทีหลักของการเมืองประชาธิปไตยยุคใหม่ พรรคการเมืองไม่ได้แข่งขันกันเพียงบนฐานของอุดมการณ์ซ้ายหรือขวา แต่แข่งขันกันว่า “ใครสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนได้จริง” ไม่ว่าจะเป็น 30 บาทรักษาทุกโรค ของไทย หรือ NREGA ของอินเดีย ล้วนสะท้อนว่าสวัสดิการคือ “สัญญาทางการเมือง” ที่ผูกพันระหว่างรัฐกับประชาชน และเป็นเครื่องวัดศักยภาพของรัฐบาลในการสร้างความเท่าเทียมและความมั่นคงทางสังคม

ในประเทศไทยวันนี้ ที่ผู้คนจำนวนมากกำลังรอคอย โครงการคนละครึ่งพลัส จากรัฐบาล คำถามที่แท้จริงอาจไม่ใช่เพียงว่า “รัฐจะช่วยเราเท่าไร” แต่คือ “รัฐจะสร้างระบบที่ทำให้เราไม่ต้องรอความช่วยเหลือได้อย่างไร” เพราะในระยะยาว รัฐสวัสดิการไม่ใช่เรื่องของการให้ แต่คือ เรื่องของความไว้วางใจ และเป็นความไว้วางใจที่เป็นรากฐานของประชาธิปไตยอย่างแท้จริง