
นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยภายหลังการบรรยายสรุปแก่คณะทูตานุทูต 67 ประเทศ องค์การระหว่างประเทศ 5 องค์การ รวมผู้เข้าร่วมทั้งสิ้น 99 คน ภายหลังเข้าปฏิบัติหน้าที่ และการแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา ได้เสร็จสิ้น เพื่อยืนยันว่า รัฐบาลมีเวลา 4 เดือน โดยจะใช้ทุกวันให้เป็นประโยชน์ และชี้แจงถึงนำการทูตประเทศไทยกลับสู่จอเรดาห์โลก ครอบคลุมหลายมิติ ทั้งการเมือง ความมั่นคง เศรษฐกิจ และการทูตเพื่อประโยชน์ประเทศไทยหลายทิศทาง
นายสีหศักดิ์ ยังได้ชี้แจงถึงการร่วมประชุมของตนเองในการอภิปรายทั่วไทยของสมัชชาสหประชาชาติ หรือ UNGA ที่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกาว่า เพื่อให้เห็นแนวคิด และบทบาทที่มีความหมายของไทยบนเวทีระหว่างประเทศ และเพื่อแสดงจุดยืนในเรื่องสำคัญ ๆ ต่าง ๆ ทั้งสถานการณ์ในตะวันออกกลาง, การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ, การค้ามนุษย์, สิทธิเด็ก และสิทธิสตรี รวมถึงยังได้พบกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของญี่ปุ่น ที่กำลังดำรงตำแหน่งประธานที่ประชุมอนุสัญญาออตตาวา โดยได้ชี้แจงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ทหารไทยเหยียบกับระเบิด และไทยได้มีการประท้วงไป ก่อนที่จะมีการประชุมใหญ่ในช่วงเดือนธันวาคมนี้ โดยได้ย้ำทางออกที่ดีที่สุด และสร้างสรรค์ที่สุดว่า กัมพูชา ควรเร่งร่วมมือเก็บกู้ทุ่นระเบิดกับไทย ซึ่งเป็นไปตามผลการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา หรือ JBC มีมติไปก่อนหน้านี้
นายสีหศักดิ์ ยังเปิดเผยว่า ยังได้พบกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย ที่จะเป็นประธานคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ ได้พบกับเลขาธิการสหประชาชาติ ซึ่งก็ได้ยืนยันว่า ประเทศไทยกำลังเร่งแก้ปัญหาระดับทวิภาคีระหว่างไทย-กัมพูชา และไม่คิดนำปัญหาปัจจุบันไปสู่ปัญหาระหว่างประเทศ พร้อมย้ำว่า ไทยต้องการอยู่ร่วมกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างสันติทุกประเทศ และมีความก้าวหน้า ซึ่งก็เป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยด้วย รวมถึงการพูดคุยถึงสถานการณ์ในเมียนมาด้วย
นายสีหศักดิ์ ยังได้กล่าวย้ำถึงถ้อยแถลงของตนบนเวที UNGA ว่า ตนอยากให้นานาชาติ เห็นว่า ประเทศไทยไม่ได้เป็นศัตรูกับกัมพูชา และไม่ควรเป็นศัตรูกัน โดยพร้อมพูดคุย เจรจาแก้ปัญหาอย่างสันติ แต่จะต้องมีพื้นที่ และความจริงใจระหว่างกัน ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวยังไม่เกิดขึ้น และยังไทยจะต้องรักษาอธิปไตย แต่ยืนยันว่า ประเทศไทยยินดีพูดคุย และหาทางเดินหน้าความสัมพันธ์
นายสีหศักดิ์ ยังเปิดเผยว่า ในการร่วมประชุม UNGA ตนได้พูดคุยกับนายปรัก สุคน ของนายกรัฐมนตรีในรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา เพื่อทำความเข้าใจในการประชุม 4 ฝ่าย ระหว่างไทย-กัมพูชา-สหรัฐฯ และมาเลเซีย ซึ่งการประชุมนี้ ได้สะท้อนความพยายามในการพูดคุยเดินหน้าทำให้ความสัมพันธ์ดีขึ้น แต่ฝ่ายกัมพูชา กลับการกล่าวบนเวที UNGA โดยไม่ได้สะท้อนความเป็นจริงในการพูดคุย ตนจึงปรับถ้อยแถลง เพื่อให้นานาชาติเห็นเจตนาที่ประเทศไทยว่า เคยช่วยเหลือกัมพูชาอย่างไร โดยไม่ใช่เป็นการทวงบุญคุณ และประเทศไทยเคยได้ช่วยเจรจาสันติภาพในเขมรฝ่ายต่าง ๆ จนสามารถตกลงกันได้ และช่วยฟื้นฟูประเทศ ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนั้น ไม่ใช่ความปรารถนาของประเทศไทย แต่การจะก้าวข้ามสถานการณ์นี้ได้ จะต้องหาจุดร่วมและให้ข้อตกลงมีความคืบหน้า เพื่อกับไปสู่ความสัมพันธ์ปกติ
ส่วนแนวทางการฟื้นความสัมพันธ์กับกัมพูชานั้น นายสีหศักดิ์ ชี้แจงว่า จะต้องมีความจริงใจต่อกันในการคลี่คลาย และก้าวข้ามความขัดแย้ง และต้องดำเนินการค่อยเป็นค่อยไป เพื่อสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ ซึ่งจะสามารถปรับความสัมพันธ์ได้ตามธรรมชาติ แต่หากยังมีข้อมูลบิดเบือน ก็จะทำให้ความสัมพันธ์ถอยหลัง และฝ่ายไทย ก็ต้องพยายามสื่อสารข้อเท็จจริงให้ได้มากที่สุดด้วย
ส่วนคณะทูตฯ ได้มีการสอบถามนโยบายรัฐบาลในการจัดการออกเสียงประชามติ MOU43-44 หรือไม่นั้น นายสีหศักดิ์ ยอมรับว่า มีการสอบถาม โดยจะให้ประชาชนมีส่วนร่วมเกี่ยวกับการยกเลิก ซึ่งนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย ได้กล่าววิธีการในเบื้องต้นแล้ว และกระทรวงการต่างประเทศ ต้องการให้ประชาชนรับรู้ข้อมูล เพื่อเป็นพื้นฐานตัดสินใจ โดยมีข้อมูลที่พร้อม และต้องเคารพการตัดสินใจของประชาชน
ส่วนการยกเลิก MOU จะต้องเป็นการยกเลิกร่วมกันนั้น นายสีหศักดิ์ ได้ขอให้ไปดูรายละเอียดใน MOU ซึ่งมีกาาระบุไว้อยู่
ขณะที่ นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ชี้แจงเพิ่มเติมว่า ในการบรรยายสรุปแก่คณะทูต และผู้แทนองค์การระหว่างประเทศครั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ย้ำภาพรวมนโยบายต่างประเทศของไทย แม้จะมีเวลา 4 เดือน แต่รัฐบาลก็มุ่งมั่นทำให้ 4 เดือนมีความหมายสำหรับการต่างประเทศ และได้พูดถึงนโยบายการต่างประเทศของไทยรอบด้าน โดยเฉพาะนโยบายการต่างประเทศภายใต้นโยบายชุดนี้ ที่จะปกป้องผลประโยน์ประเทศ เป็นการทูตเชิงรุกและเศรษฐกิจ โดยไทยจะเข้าไปมีส่วนร่วมบนบทบาทโลกต่าง ๆ และจะมุ่งเสริมสร้างเสถียรภาพ และความเป็นแกนกลางของอาเซียน ซึ่งเป็นเสาหลักการต่างประเทศของไทยด้วย พร้อมย้ำสถานการณ์ไทย-กัมพูชาว่า ไม่ได้เป็นประโยชน์ที่พึงประสงค์ของไทย และต้องการให้ความสัมพันธ์กลับสู่ปกติ และพร้อมเจรจาหาข้อยุติ แต่การเจรจาจะสำเร็จได้ ต้องอาศัยความจริงใจ และความร่วมมือจากกัมพูชา ทั้งการกู้ระบิด ถอนอาวุธหนัก และการปราบอาชญากรรมข้ามชาติ พร้อมแสดงความผิดหวังในกรสร้างสถานการณ์ และจัดฉากกล่าวหาไทยละเมิดข้อตกลง รวมถึงบิดเบือนของมูลต่าง ๆ ต่อโลก ซึ่งสะท้อนความไม่จริงใจ