
23 กันยายน 2568 การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลที่กรุงเทพฯ รัฐบาลพลิกขั้ว ทำให้ดุลการเมืองในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ขยับผันแปรไปด้วย
โดยเฉพาะการพลิกขั้วจากฝ่ายค้านช่วงสั้นๆ ของพรรคภูมิใจ กลับมาเป็นรัฐบาลอย่างรวดเร็ว ทำให้ขั้วรัฐบาลเดิมอย่าง พรรคเพื่อไทย ซึ่งมี พรรคประชาชาติ เป็นพันธมิตร กลายสภาพเป็นฝ่ายค้าน
พรรคประชาชาติ เป็นแชมป์ สส.ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ จากการเลือกตั้งทั่วไป 2 ครั้งต่อเนื่องกัน
โดยในปี 2562 ได้ สส.เขต 6 คนจากทั้งหมด 11 คน
และในปี 2566 ได้ สส.เขตเพิ่มเป็น 7 คน จาก สส.สามจังหวัด 13 คน
หลังเลือกตั้งปี 2566 การตั้ังรัฐบาลข้ามขั้วของพรรคเพื่อไทย ทำให้ 5 พรรคการเมืองที่มี สส.ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวม 13 คน เป็นพรรครัฐบาลด้วยกันทั้งหมด กล่าวคือ
-พรรคประชาชาติ สส. 7 คน
- พรรคพลังประชารัฐ สส. 3 คน (ภายหลังเปลี่ยนเป็นพรรคกล้าธรรม 2 คน)
- พรรคภูมิใจไทย รวมไทยสร้างชาติ และประชาธิปัตย์ พรรคละ 1 คน
แต่พรรคที่เอาจริงเอาจังในการขยายฐานคะแนนเสียง ในภาพกว้างของพื้นที่ปลายด้ามขวาน ดูจะมีพรรคประชาชาติพรรคเดียว เพราะมีลักษณะเป็น “พรรคท้องถิ่นนิยม” และ “พรรคของคนมุสลิม” แต่ก็มีชาวไทยพุทธจำนวนไม่น้อยที่นิยมชมชอบ จากบทบาทของ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง หัวหน้าพรรค ซึ่งได้นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
พ.ต.อ.ทวี ลงพื้นที่ทุกสัปดาห์ มีกิจกรรมในพื้นที่ต่อเนื่อง ไปร่วมงานของคนในพื้นที่ทุกงาน ทั้งงานราษฎร์ งานหลวง เปิดงาน กีฬาฟุตบอล กีฬาสี ขบวนพาเหรดตาดีกา ไม่เว้นแม้แต่งานแต่งงาน โดยพรรคประชาชาติวาดหวังว่า จะครองที่นั่งมากขึ้นในพื้นที่สามจังหวัดชายแดน และขยายไปยังสงขลาด้วย
แต่อีกพรรคหนึ่งที่มีบทบาทเชิงลึกมากเป็นพิเศษ แม้ภายนอกจะดูนิ่งๆ เงียบๆ ก็คือ พรรคภูมิใจไทย
ก่อนถอนตัวจากรัฐบาลเพื่อไทยเป็นฝ่ายค้าน หลังกรณีคลิปเสียงฮุนเซน พรรคภูมิใจไทยได้คุมกระทรวงมหาดไทย โดยมีหัวหน้าพรรค คุณอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นรัฐมนตรีว่าการ
คุณอนุทินลงพื้นที่ชายแดนใต้หลายครั้ง เพราะต้องกระตุ้นบทบาทของ อส. หรือ กองกำลังอาสารักษาดินแดน ให้มีความพร้อม เพื่อรับมอบภารกิจดูแลพื้นที่แทนทหาร ตามแผนส่งมอบภารกิจในปี 2570
ประกอบกับฝ่ายปกครอง ในส่วนภูมิภาค ทั้งผู้ว่าราชการจังหวัด และนายอำเภอ ล้วนขึ้นตรงกับมหาดไทย ทำให้พรรคภูมิใจไทยมีฐานกำลังข้าราชการ ในระดับพื้นที่และท้องถิ่นอยู่เต็มพิกัด
ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา การขับเคลื่อนงานการเมืองของพรรคประชาชาติ ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงมีอุปสรรค และไม่บรรลุเป้าหมายเต็มร้อย แม้ พ.ต.อ.ทวี จะลงพื้นที่ต่อเนื่อง เพราะกลไกฝั่งมหาดไทยไม่ได้รับลูกเท่าที่ควร
โดยเฉพาะการขับเคลื่อนนโยบายที่ขัดแย้งกัน อย่างการพยายามทำให้ “กระท่อม-กัญชา” กลับสู่บัญชียาเสพติด ซึ่งสวนทางกับนโยบายของพรรคภูมิใจไทยอย่างสิ้นเชิง
สิ่งที่ปรากฏเงียบๆ เหมือนเป็นคลื่นใต้น้ำ คือการปลดเกียร์ว่างของข้าราชการฝ่ายปกครอง “สายสีน้ำเงิน” ไม่เด้งรับนโยบาย “วาระพืชกระท่อม 120 วัน” ของ พ.ต.อ.ทวี อย่างนี้เป็นต้น
เมื่อพรรคประชาชาติต้องไปเป็นฝ่ายค้าน และมีการเปลี่ยนตัวเลขาธิการ ศอ.บต.สายตรงของ พันตำรวจเอกทวี ด้วย ทำให้การขับเคลื่อนงานในพื้นที่หยุดชะงัก แต่สิ่งที่ปรากฏขึ้นพร้อมๆ กันคือ คือการขยายฐานของพรรคภูมิใจไทย ที่ปัจจุบันมี สส.หลุดเข้าสภาได้เพียงหนึ่งเดียว ที่นราธิวาส ล่าสุดมีการเปิดเจรจากับ คุณคอซีย์ มามุ สส.ปัตตานี พรรคพลังประชารัฐ ให้เปลี่ยนเสื้อมาเป็น “สีน้ำเงิน” แว่วว่า เจ้าตัวกำลังตัดสินใจ
นอกจากนั้น ภูมิใจไทยยังได้ คุณนิพนธ์ บุญญามณี อดีตแม่ทัพ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประชาธิปัตย์ มารับผิดชอบพื้นที่เดิมที่ตนเองถนัด ส่วนนราธิวาส ขุนพลคนเดิมอย่าง คุณนัจมุดดีน อูมา อดีต สส. 3 สมัย ก็ยังขะมักเขม้น ภายใต้การทำทีมของ “โกเกี้ยะ” พิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมคนใหม่
การได้เลื่อนชั้นคุมกระทรวงเกรดเอบวก อย่างคมนาคม ยิ่งมีโอกาสสร้างผลงาน โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นที่ในภาคใต้ตอนล่าง ที่ยังขาดแคลนอยู่พอสมควร ทั้งหมดนี้คือโอกาสของภูมิใจไทย ที่น่าจะเบียดชิงพื้นที่กับพรรคประชาชาติอย่างดุเดือดเลือดพล่าน
อีกหนึ่งพรรคที่มองข้ามไม่ได้ คือ พรรคกล้าธรรม ซึ่งมีฐานที่มั่นอยู่ที่นราธิวาส โดยมีสองพี่น้อง “ตระกูลมะยูโซ๊ะ” เป็นกลจักรสำคัญในพื้นที่ และล่าสุด “สส.อามินทร์ มะยูโซ๊ะ น้องชายของ “สส.บีลา” สัมพันธ์ มะยูโซ๊ะ สส.นราธิวาส ก็มีชื่อเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลพรรคภูมิใจไทยด้วยเช่นกัน
ความเคลื่อนไหวทั้งหมดนี้ ทำให้การเมืองในจังหวัดชายแดนใต้ ทั้ง ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสงขลา สตูล ร้อนแรงขึ้นอย่างแน่นอน
พูดถึงพรรคกล้าธรรม ที่โอนย้าย สส.มาจากพลังประชารัฐ ในพื้นที่ชายแดนใต้มี สส. 2 คน อยู่นราธิวาสทั้งคู่ เป็น “สองพี่น้องตระกูลมะยูโซ๊ะ” คือ คุณสัมพันธ์ หรือ “สส.บีลา” พี่ชาย กับ คุณอามินทร์ มะยูโซ๊ะ น้องชาย / แต่แทบไม่น่าเชื่อว่า “ผู้กองธรรมนัส” จัดหนัก มอบเก้าอี้รัฐมนตรีช่วยเกษตรฯ ให้ “ทีมมะยูโซ๊ะ” 1 เก้าอี้ (คือ คุณอามินทร์ ผู้น้อง)
ทำให้น้ำหนักของพรรคกล้าธรรมในพื้นที่ชายแดนใต้ น่าจับตาเป็นอย่างยิ่ง
หลายคนอาจสงสัยว่า ทำไม “ผู้กองธรรมนัส” จึงได้จัดหนัก และให้น้ำหนักกับสนามการเมืองนราธิวาสเป็นอย่างยิ่ง เพราะตอนเลือกตั้งนายก อบจ. ก็สนับสนุนผู้สมัครชนกับ “นายก กูเซ็ง ยาวอหะซัน” ซึ่งเป็นบ้านใหญ่นราธิวาส และผูกขาดเก้าอี้มาหลายสิบปี
จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า ผู้กองธรรมนัส สมัยยังเป็นเด็ก และเป็นวัยรุ่น เรียนจบการศึกษาที่นราธิวาส เคยเรียนโรงเรียนสุไหงโก-ลก อำเภอสุไหงโก-ลก และโรงเรียนนราสิกขาลัย อำเภอเมืองนราธิวาส สาเหตุที่ต้องลงไปเรียนที่ปลายด้ามขวาน ทั้งๆ ที่เป็นคนพะเยา เพราะย้ายตามคุณพ่อ ซึ่งเป็นข้าราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ไปปฏิบัติราชการที่นราธิวาส และนี่เองที่อาจเป็นสาเหตุให้ “ผู้กอง” มี passion กับการเมืองนราธิวาสมากเป็นพิเศษ
ล่าสุดกำลังทาบทาม คุณนัจมุดดีน อูมา อดีต สส.นราธิวาส 3 สมัย ซึ่งช่วยงานพรรคภูมิใจไทย ตั้งแต่ช่วงเลือกตั้งปี 66 ได้ สส.นราธิวาส มา 1 คน คือ ดร.ซาการียา สะอิ หรือ “สส.ยา” ให้ย้ายค่ายไปสังกัดพรรคกล้าธรรม โดยจะย้ายไปทั้งตัว คุณนัจมุดดีน ในฐานะโค้ช และ สส.ยา ด้วย
ขณะเดียวกันมีความเคลื่อนไหวของ “เสธ.หิ” ดอกเตอร์ หิมาลัย ผิวพรรณ อดีตผู้อำนวยการพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่เพิ่งย้ายข้ามจากพรรคสีธงชาติ ไปร่วมงานกับ “ผู้กองธรรมนัส” เพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหาร 25 ที่พรรคกล้าธรรม
ล่าสุด “เสธ.หิ” เปิด “ดีล-ดูด-ดึง” พา สส.รวมไทยสร้างชาติ 6 คน เข้าซบพรรคกล้าธรรมเรียบร้อยแล้ว และกำลังเจรจากับกลุ่ม “นายกชาย” แห่งประชาธิปัตย์ อาจจะมีรายการ “ย้ายทั้งกลุ่ม” ไม่น้อยกว่า “4 สส.” เข้าพรรคกล้าธรรม เพราะมีแนวโน้มไร้อนาคตกับพรรคประชาธิปัตย์ หาก คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กลับมากุมบังเหียนหัวหน้าพรรค เพื่อฟื้นฟูพรรคให้กลับมายิ่งใหญ่เหมือนเดิม
น่าจับตาว่า “พรรคกล้าธรรม” กำลังเป็นพรรคที่เติบใหญ่แบบก้าวกระโดด และชิงเก้าอี้ สส.อย่างเป็นกอบเป็นกำในภาคใต้อีกพรรคหนึ่ง