
ความเคลื่อนไหวของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ที่ออกสตาร์ตนำทีมว่าที่รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจ ร่วมวงพร้อมหน้า หารือสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ ส.อ.ท. ท่ามกลางนักธุรกิจ และภาคเอกชนคับคั่ง เพื่อรับฟังข้อเสนอทิศทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย แม้ว่า คณะรัฐมนตรียังไม่สมบูรณ์
โดยนายกฯอนุทิน มีท่วงท่าโชว์ลีลาสั่งงานว่าที่ รมว.คลัง เน้นแก้ปัญหาเศรษฐกิจ และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ “โครงการคนละครึ่ง” เหมือนเป็นรัฐบาลแล้ว ทั้งๆ ที่ ครม.ยังไม่เข้ารับหน้าที่ ยังไม่ทูลเกล้าฯรายชื่อด้วยซ้ำ (จากคำสัมภาษณ์ของนายอนุทินเอง)
อย่างไรก็ดี การพบปะภาคเอกชนของรัฐบาลใหม่ หรือนายกฯคนใหม่ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่ง เป็นเรื่องปกติ เคยเกิดขึ้นมาหลายครั้ง แต่โดยมากจะเกิดขึ้นหลังรัฐบาลเข้ารับหน้าที่แล้ว บางรัฐบาลแถลงนโยบายแล้ว จึงถือโอกาสพบปะทำความเข้าใจ เช่น ประชุม กกร. (คณะกรรมการร่วมเอกชน 3 สถาบัน)
ตัวอย่าง นายกฯแพทองธาร
ตัวอย่างนายกฯเศรษฐา
เปิดตัวว่าที่รัฐมนตรีคนนอก เน้นด้านเศรษฐกิจ ตั้งแต่วันที่ 6 ก.ย.2568 หลังสภาโหวตให้เป็นนายกฯ แต่ยังไม่โปรดเกล้าฯ ครั้งนั้น นายกฯอนุทิน ชิงเปิดตัวว่าที่รัฐมนตรีเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นคนนอก เทคโนแครต สร้างกระแสตอบรับเป็นวงกว้าง เทคโนแครตหลายคน “เบอร์ใหญ่” ไม่น่าเชื่อว่าจะเข้ามารับงานระยะสั้นแค่ 4 เดือน เช่น อาจารย์บวรศักดิ์ อุวรรณโณ
ขณะที่นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ว่าที่ รมว.คลัง ยังเหลืออายุราชการที่กระทรวงการคลังอีกถึง 6 ปี แต่กลับตัดสินใจลาออกมาร่วม ครม.อายุสั้นแค่ 4 เดือน
คุณศุภจี สุธรรมพันธุ์ ว่าที่ รมว.พาณิชย์ ก็ถูกตั้งข้อสังเกตคล้ายๆ กัน แม้มาจากภาคเอกชน แต่ตำแหน่งและภาระหน้าที่ก็มีความสำคัญมาก และน่าจะมีรายได้สูงมาก แต่กลับเลือกมารับตำแหน่งรัฐมนตรีในรัฐบาลเฉพาะกิจ อายุแค่ 4 เดือน กินเงินเดือนแค่แสนกว่าบาท...จริงหรือ
แน่นอนว่า ตำแหน่งรัฐมนตรีถือเป็นเกียรติประวัติ และประสบการณ์สำคัญที่มีค่ามาก สำหรับคนที่ดำรงตำแหน่ง แต่สถานะรัฐบาลเฉพาะกาล 4 เดือน ไม่น่าจะจูงใจคนระดับนี้ได้
-โครงการแลนด์บริดจ์ 9.9 แสนล้าน เอาแค่เปิดประมูลได้ กว่าจะเริ่มตอกเสาเข็มต้นแรก เร็วที่สุดก็ประมาณการณ์กันว่าราวๆ ปี 2573
- โครงการรถไฟฟ้า 20 บาท ที่อาจปรับเป็น 40 บาท ต้องใช้งบอุดหนุนมหาศาล เป็นผลประโยชน์ก้อนใหญ่ที่สุ่มเสี่ยงถูกตรวจสอบว่าเอื้อเอกชน หรือประชาชนได้รับประโยชน์แท้จริงกันแน่
นอกจากนี้ยังมีการเร่งเครื่องนโยบายประชานิยม ซึ่งรวมถึง “ชาตินิยม” เพื่อช่วงชิงคะแนนเสียง แม้จะประเมินว่า หากได้ผลตามเป้า อาจยุบสภาเร็ว แต่ผลอีกด้านคือ หากนโยบายเหล่านี้ประสบความสำเร็จ จะมีเสียงเรียกร้องให้รัฐบาลอยู่ทำหน้าที่ต่อไป
แต่ขณะเดียวกัน ความคึกคักของการขับเคลื่อนงานนิติบัญญัติและกฎหมาย เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ และเตรียมทำประชามติ มีความคึกคักน้อยกว่านโยบายประชานิยม หรือแม้แต่เมกะโปรเจกต์ระยะยาว ทั้งๆ ที่มีเงื่อนไขของการยุบสภาภายใน 4 เดือนหลังแถลงนโยบาย
อีกทั้งจะสังเกตได้ว่า นายกฯอนุทิน สร้างภาพลักษณ์ใหม่ และเพิ่มความแข็งแกร่งของ “แบรนด์อนุทิน” ในเวทีการเมือง อาทิ แบรนด์ติดดิน กินสตรีทฟู้ดข้างทาง , แบรนด์ไม่ติดหรู แม้รวยมหาศาล , แบรนด์คิดเร็ว ทำเร็ว สั่งการเร็ว หากผิดพลาดก็ถอยเร็ว (กรณีสั่งงานว่าที่รัฐมนตรีเศรษฐกิจ และว่าที่ รมว.กลาโหม) , แบรนด์ผู้นำอนุรักษ์นิยมใหม่ มีความคิดทันสมัย เล่นโซเชียลมีเดียเอง แต่ก็เทิดทูนสถาบันหลักของชาติ , แบรนด์รักชาติ ประกาศไม่ยอมเสียดินแดนแม้แต่ตารางนิ้วเดียว ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด , แบรนด์ผู้นำอินเตอร์ มีอดีตทูตมหาอำนาจเข้าพบ ได้รับอวยพรจากทูตยุโรป และชาติมหาอำนาจ ระดับ จี20
ประกาศคืนความเป็นธรรมให้กับการโยกย้ายข้าราชการ โดยเฉพาะในกระทรวงมหาดไทย แม้จะเป็นไปได้ยากที่จะปรับย้ายได้ครบทุกตำแหน่งในคราวเดียว หากยุบสภาเร็ว เมื่อเป็นรัฐบาลรักษาการจะแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับสูงไม่ได้
ขณะที่หลายฝ่ายสังเกตว่า อาจต้องการทอดเวลาเพื่อใช้จ่ายงบประมาณ และอัดงบลงพื้นที่เป้าหมายให้มากที่สุด เพราะระยะเวลาแค่ 4 เดือน ทำได้ยากมาก เนื่องจากระบบงบประมาณประเทศไทยมีปัญหาการเบิกจ่าย และพรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรค ไม่มีใครอยากอยู่ในตำแหน่งเพียงระยะเวลาสั้นๆ
นอกจากนี้ โอกาส “อยู่ยาว” ของภูมิใจไทย ยังมีอีกหนึ่งความเป็นไปได้ คือการฉกฉวยความได้เปรียบจากการช่วงชิงฐานเสียงทางการเมืองระหว่าง พรรคเพื่อไทย กับ พรรคประชาชน หรือระหว่าง “ค่ายสีแดง” กับ “ค่ายสีส้ม”
ยกตัวอย่าง เช่น 1.ประเด็นรัฐธรรมนูญ ขณะนี้พรรคเพื่อไทยพลิกบทบาทมาเป็นฝ่ายประชาธิปไตย อยากแก้รัฐธรรมนูญขึ้นมาทันควัน อาจชิงจังหวะทางการเมืองกับพรรคประชาชน เพื่อสร้างกระแสว่าเป็นผู้ผลักดันให้เกิดการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ช่วงชิงโอกาสของการมีส่วนในกระบวนการตั้ง ส.ส.ร. หรือส่งคนของตัวเองเข้าไปร่วมยกร่างรัฐธรรมนูญให้มากที่สุด โดยโอกาสที่สองพรรคจะขัดแย้งกันมีมาก
และ ถ้ากระแสสังคมไม่สนับสนุน คะแนนเสียงจะเทมาฝั่งภูมิใจไทยที่ไม่ได้ออกตัวแรง แต่ไปเน้นแก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้านเศรษฐกิจ และความมั่นคงอย่างกัมพูชา
การชิงการนำในการตรวจสอบรัฐบาล โดยเพื่อไทยอาจชิงบทบาทการเป็น “ฝ่ายค้านพรรคหลัก” แทนพรรคประชาชน ทั้งๆที่มีจำนวน สส.น้อยกว่า และไม่ได้เป็นผู้นำฝ่ายค้าน เพื่อไทยแสดงบทบาทได้ง่ายกว่า และแรงกว่า เพราะไม่ได้โหวตหนุนนายอนุทินเป็นนายกฯ และไม่ได้ไฟเขียวให้ภูมิใจไทยตั้งรัฐบาล
หากเพื่อไทยชิงยื่นซักฟอกรัฐบาลภูมิใจไทย จะทำให้พรรคประชาชนกำหนดเกมการเมืองยาก จะร่วมอภิปรายด้วย ก็ดูลักลั่น เพราะสนับสนุนให้ภูมิใจไทยเป็นรัฐบาลเอง หากเวลานั้นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือทำประชามติ ยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง พรรคประชาชนจะร่วมซักฟอกพรรคภูมิใจไทยหรือไม่
เพราะมีโอกาสที่จะขัดแย้งกับภูมิใจไทย โดยเพื่อไทยได้คะแนนนิยมด้านหนึ่งไป ส่วนภูมิใจไทยก็จะได้แต้มในแง่ที่พรรคประชาชนตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
สรุป การเมืองสามก๊ก และสามเหลี่ยมมรณะยังคงมีอยู่ และช่วงชิงความได้เปรียบ หรือพร้อมหักหลังกันได้ทุกเมื่อ ทุกเวลา