
ที่ประชุมวุฒิสภา มีมติตั้งคณะกรรมาธิการสามัญเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบประวัติความประพฤติ และพฤติกรรมทางจริยธรรม ของบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่ง กรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. จำนวน 2 คน แทนนายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต. และนายสันทัด ศิริอนันต์ไพบูลย์ กกต.ที่ครบวาระการดำรงตำแหน่ง ได้แก่ นายอนันต์ สุวรรณรัตน์ อดีตปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ระหว่างปี 2561-2563 และนายณรงค์ รักร้อย อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดอุทัยธานี และสมุทรสาคร ระหว่างเดือนตุลาคม 2561 – 2566 โดยกำหนดเวลาการตรวจสอบเป็นเวลา 60 วัน นับแต่วันที่วุฒิสภาแต่งตั้ง ก่อนเสนอกลับเข้ามายังวุฒิสภา เพื่อพิจารณาให้ความเป็นชอบบุคคลดังกล่าวต่อไป
ทั้งนี้ ตามรายงานการพิจารณาสรรหาบุคคลผู้สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็น กกต.แทนตำแหน่งที่ว่าง ของคณะกรรมการสรรหาฯ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะ 1 ในคณะกรรมการสรรหาฯ ได้มีการสัมภาษณ์บุคคลทั้ง 2 ถึงความเห็นต่อกรณีที่มีข่าวเรื่องการฮั้วในการเลือกวุฒิสภา หรือ ฮั้ว สว. ว่า ถ้าได้ทำหน้าที่เป็น กกต. จะมีแนวทางในการปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับคดีนี้อย่างไร
โดยนายอนันต์ ตอบว่า ในความเห็นส่วนตัว ผมคิดว่า เรื่องฮั้ว สว.ที่กำลังสอบสวน และกำลังดำเนินการ ผมมองเรื่องกระบวนการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาในรอบนี้ว่า น่าจะไม่ค่อยเห็นด้วยอยู่เท่าไร คือบทบาทความร่วมมือของภาคประชาชน กับกระบวนการสรรหา สว.มีค่อนข้างน้อย ซึ่งจะกลายเป็นเพียงกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง ที่เข้าไปสรรหา และคัดเลือกกันเอง โอกาสที่ภาคประชาชน หรือคนส่วนใหญ่ จะได้มีส่วนร่วมในการสรรหา สว. ค่อนข้างน้อย สว.ไม่ได้แสดงตน หรือประกาศตนให้ประชาชนทั่วไปรับรู้ หรือประกาศอะไรต่าง ๆ ต่อสาธารณะ ทำให้กระบวนการในการสรรหาตรงนั้น ภาคประชาชนมีส่วนร่วมน้อยไป แต่กรณีที่มีฮั้ว สว.หรือไม่นั้น ในความเห็นส่วนตัว ผมไม่ทราบข้อมูลที่ลึกจริง ๆ แต่ภาพออกมาน่าจะเชิงลักษณะนั้น อยู่ที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นองค์กรสำคัญที่จะขับเคลื่อนเรื่องนี้ ในการตรวจสอบ หรือดำเนินการอะไรต่าง ๆ และควรทำให้โปร่งใส และเปิดเผย ที่สำคัญคือ เรื่องการสื่อสารต่อสาธารณะให้ชัดเจน ซึ่งจะช่วยลดข้อกังวลต่าง ๆ ได้ เหมือนที่ผม กล่าวตอนแรกว่า เมื่อไรประชาชนศรัทธาต่อองค์กร ก็จะทำให้การทำงาน หรือการดำเนินการอะไรต่าง ๆ ขับเคลื่อนไปได้ดี
ขณะที่ นายณรงค์ ตอบว่า ในการเลือกสมาชิกวุฒิสภาตามกฎหมายกำหนดไว้แบบนั้น กระบวนการในการบริหารจัดการจึงเกิดขึ้นแบบนั้น แต่กฎหมายบังคับไว้ในรัฐธรรมนูญ ผมจำแน่นอนไม่ได้ว่า มาตราใด แต่ได้กำหนดให้วุฒิสภา ต้องไม่ฝักใฝ่พรรคการมเอง เพราะฉะนั้น ในกรณีนี้ อย่างไรก็ผิดกฎหมาย แต่จะผิดอย่างไรขึ้นอยู่กับหลักฐาน หลักฐานที่ปรากฏว่า สอดคล้องเป็นไปตามข้อเท็จจริงหรือไม่ ผมเห็นด้วยว่า การเลือกตั้งทุกระดับต้องสุจริต และเที่ยงธรรม ถ้าเกิดการเลือก หรือการเลือกตั้ง ไม่สุจริตและเที่ยงธรรม ก็เป็นเรื่องที่ไม่สามารถจะทำให้ประเทศชาติ ผ่านวิกฤตที่เราเห็นอยู่ในปัจจุบันไปได้อย่างแน่นอน